IVL วิ่ง 5% โบรกฯชูเป้า 45 บ. มอง “Spread” ดันกำไรไตรมาส 2 ทะลุ 7 พันลบ.
IVL บวก 5% โบรกฯ แนะ “ซื้อ” เป้า 45 บ. ลุ้นกำไรไตรมาส 2 แตะ 7.70 พันลบ. เพิ่มขึ้น 27.50% จากไตรมาสก่อน หนุนโดย Spread กลุ่ม Integrated PET ที่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (2 ส.ค. 2564) ราคาหุ้นบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL ณ เวลา 15.51 น. อยู่ที่ระดับ 38.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท หรือ 4.83% โดยทำจุดสูงสุดที่ 38.25 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 36.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 595.55 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (2 ส.ค.2564) โดยฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/2564 อยู่ราว 7.70 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นอีก 27.50% จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรายไตรมาสนับตั้งแต่งวดไตรมาส 2/2561 โดยกำไรสุทธิที่ดีขึ้นในงวดนี้ล้วนเป็นผลจากกำไรจากการดำเนินปกติที่ปรับตัวขึ้น ถึงแม้รายการพิเศษสุทธิแล้วในงวดนี้จะเป็นกำไรลดลงเหลือเพียง 1.90 พันล้านบาท จาก 2.90 พันล้านบาท ในงวดก่อนหน้า
โดยรายการพิเศษในงวดไตรมาส 2/2564 คาดจะมีเพียงการบันทึกกำไรจากสินค้าคงเหลือราว 1.80 พันล้านบาท ลดลงจากงวดก่อนหน้าที่บันทึกกำไรจากสินค้าคงเหลือสูงถึง 3.30 พันล้านบาท แต่คาดจะมีการบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนราว 110 ล้านบาท จากงวดก่อนหน้าที่เป็นขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 4 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามหากตัดรายการพิเศษ พิจารณาเฉพาะแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติงวดไตรมาส 2/2564 คาดจะเพิ่มขึ้น 83.80% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ราว 5.70 พันล้านบาท หลักๆเป็นผลมาจาก Spread กลุ่ม Integrated PET (ภายใต้สถานการณ์ปกติจะมีสัดส่วน EBITDA เฉลี่ยราว 50 – 55% ของ EBITDA รวมของ IVL) ที่ปรับตัวสูงขึ้นมีนัยฯ จากผลของ lag – time ในการซื้อขาย โดย Spread ผลิตภัณฑ์ PET ที่สูงโดดเด่นในช่วงเดือน มี.ค. จะมารับรู้ในงวดไตรมาส 2/2564 อีกทั้งค่าเฉลี่ย Spread Spot ในงวดไตรมาส 2/2564 ถือว่ายังอยู่ในระดับสูงมากทั้ง Asia Integrated PET และ West Integrated PET ที่อยู่ราว 233 และ 593 จาก 242 และ 559 เหรียญฯ ต่อตัน ในงวดก่อนหน้า
ทั้งนี้เช่นเดียวกับ Spread US MTBE ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ IOD (ภายใต้สถานการณ์ปกติจะมีสัดส่วน EBITDA ราว 30% ของ EBITDA รวมของ IVL) เพิ่มขึ้นมาอยู่ ที่ 291 จาก 179 เหรียญฯต่อตัน ในงวดก่อนหน้า แต่บางส่วนของกลุ่ม IOD ก็ถูกหักล้าง จาก Spread US MEG ที่ปรับตัวลงเล็กน้อยเหลือ 500 จาก 535 เหรียญฯต่อตัน ในงวดก่อนหน้า ขณะที่ Spread กลุ่มผลิตภัณฑ์ Fiber (ภายใต้สถานการณ์ปกติจะมีสัดส่วน EBITDA ราว 15 – 20% ของ EBITDA รวมของ IVL) คาดจะเห็นการปรับตัวลดลงของธุรกิจ ประเภท Lifestyle ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์หลักของกลุ่ม Fiber ขณะที่คาดปริมาณขายงวดไตรมาส 2/2564 จะปรับตัวลดลงเล็กน้อยราว 1.6% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ราว 3.60 ล้านตัน
โดยแรงกดดันหลักๆจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ combined PET ที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลน Feedstock PTA, MEG ทำให้ไม่สามารถเดินเครื่องได้เต็มที่ เช่นเดียวกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ Fiber ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID ในอินเดียซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงาน Fiber หลักของ IVL มีภาวะความต้องการใช้ที่ชะลอตัวลงอย่างมีนัยฯ ส่วนกลุ่ม ผลิตภัณฑ์ IOD คาดปริมาณขายจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังเริ่มกลับมาเดินเครื่องแต่ยังไม่เต็มที่จากในงวดไตรมาส 1/2564 ซึ่งได้รับผลกระทบจากการหยุดผลิตราว 1 เดือน ของโรงงานผลิต Integrated Oxides and Derivatives (IOD) ในมลรัฐเท็กซัส ซึ่งถือเป็นกำลังการผลิตของ Huntmans โดยมีกำลังการผลิตอยู่ราว 1.90 – 2.00 ล้านตันต่อปี (Huntmans มีกำลังการผลิต Integrated Oxides and Derivatives รวม 2.17 ล้านตันต่อปี)
เนื่องจากเผชิญกับสภาพอากาศหนาวเย็นอย่างรุนแรง ดังนั้นคาดจะส่งผลให้ EBITDA/ton ในงวดไตรมาส 2/2564เพิ่มขึ้นมีนัยฯมาอยู่ที่ 125 จาก 101 เหรียญฯต่อตัน ในงวดก่อนหน้า โดยรวมแล้วคาดกำไรจากการดำเนินงานปกติช่วงครึ่งปีแรก 2564 อยู่ราว 8.80 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 72% ของประมาณการทั้งปี 2564 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้เดิม
ส่วนของคาดการณ์กำไรสุทธิงวดครึ่งปีแรก 2564 จะอยู่ราว 1.40 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 724 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปรับเพิ่มประมาณการกำไร 2564 – 2565 สะท้อน Spread ครึ่งปีแรก 2564 ที่ดีกว่าคาด ยังคงมุมมอง ทิศทางกำไรครึ่งปีหลัง 2564 อ่อนตัวลงจากครึ่งปีแรก 2564 ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยได้ทำการปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากการดำเนินงานปกติปี 2564 เพิ่มขึ้น 25.70% จากเดิม มาอยู่ราว 1.56 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 197.20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนปี 2565 เพิ่มขึ้น 14.6% จากเดิม มาอยู่ราว 1.62 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.90% จากงวดเดียวกันของปี เพื่อสะท้อนการปรับเพิ่มสมมติฐานผลิตภัณฑ์กลุ่ม Integrated PET ที่โดดเด่นมากในช่วงครึ่งปีแรก 2564 เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอื่นๆภายใต้ Supply ที่ค่อนข้างตึงตัว
นอกจากนี้ผลกระทบ COVID ทำให้โรงงานหลายแห่งมีการ Cut Run ขณะที่ความต้องการใช้กลับเพิ่มสูงขึ้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้นเมื่อเทียบกับในปี 2563 ที่ผ่านมา อีกทั้งการสต๊อกสินค้าที่อยู่ในระดับต่ำมากในช่วงสถานการณ์ COVID รุนแรง ทำให้ผู้ประกอบการ ต่างหันมาเร่งสต๊อกสินค้ามากขึ้นจึงทำให้ Spread โดดเด่นมากกว่าคาด ซึ่งภายใต้ประมาณการใหม่ส่งผลให้มูลค่าพื้นฐาน (อิง DCF) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 45 จาก 44 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตามคาดแนวโน้มกำไรช่วงครึ่งปีหลัง 2564 จะเห็นการอ่อนตัวลงจากช่วงครึ่งปีแรก 2564 เริ่มตั้งแต่งวดไตรมาส 3/2564 ที่ทิศทาง Spread ผลิตภัณฑ์หลักกลุ่ม Integrated PET ในเอเชียเริ่มเห็นการปรับตัวลดลงจากงวดไตรมาส 2/2564
ทั้งนี้เป็นไปตามผลของฤดูกาล Low Season ของการใช้ PET แต่ทั้งนี้คาด Spread ผลิตภัณฑ์หลักกลุ่ม Integrated PET ทางฝั่ง West น่าจะยังประคองตัวสูงต่อเนื่องได้ ถึงแม้จะปรับตัวลงแต่ก็อาจจะไม่มากนัก เนื่องจากค่าขนส่ง (freight rate) ที่ยังอยู่ในระดับสูงมากทำให้ผู้ประกอบการต่างออเดอร์ผลิตภัณฑ์ล่วงหน้า รวมถึงโดยปกติแล้วความผันผวนตามฤดูกาลของ Spread ฝั่ง West จะไม่สูงเท่าฝั่งเอเชีย ซึ่งภาพรวมของผลิตภัณฑ์ Integrated PET ในปัจจุบันของ IVL มีสัดส่วนมาจากทาง West ราว 70% ส่วนที่เหลือราว 30% มาจากฝั่งเอเชีย
อย่างไรก็ตามคาดผลกระทบจาก Spread Integrated PET ที่ลดลงตาม Seasonal อาจจะไม่รุนแรงเหมือนในอดีต ทั้งนี้ความหวังในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 ที่จะช่วยพยุงกำไรไม่ให้ลดลงไปมาเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2564 อยู่ที่ธุรกิจ IOD (Huntsman) ที่คาด Spread จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2564 และปริมาณขายจะกลับมาเพิ่มขึ้นจากการเดินเครื่องผลิตเต็มกำลัง ประกอบกับคาดโรงงานอีเทนแครกเกอร์ในสหรัฐฯที่เกิดเหตุฟ้าผ่าไปในช่วงปลายปี 2563 จะเริ่มกลับมาเดินเครื่องผลิตได้ ในช่วงปลายงวดไตรมาส 3/2564 และคาดจะมีการบันทึก Insurance Claim จากเหตุการณ์ดังกล่าว ในงวดไตรมาส 3/2564 เป็นรายการพิเศษที่ไม่รวมไว้ในประมาณการ
อีกทั้งฝ่ายวิจัยได้ทำการสอบถามไปยังผู้บริหาร IVL ถึงกระแสการเพิ่มทุนหากมีการเข้าลงทุนโครงการใหม่ ซึ่งผู้บริหารยืนยันว่าจะไม่มีการเพิ่มทุน ถึงแม้ปัจจุบัน IVL จะมี Net Debt/Equity อยู่ราว 1.20 – 1.30 เท่า แต่ IVL มี Debt Covenant อยู่ที่ 2.00 เท่า นั่นหมายถึงภายใต้ Equity ของ IVL ที่มีอยู่ราว 1.00 – 1.20 แสนล้านบาท ทำให้ยังมีโอกาสที่จะก่อหนี้ได้สูงถึง 0.70 – 1.00 แสนล้านบาท ถึงจะทำให้ Net Debt/Equity เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 2.00 เท่าใกล้เคียงกับ Debt Covenant ของ IVL ดังนั้นจึงยังต้องลุ้นการประกาศโครงการลงทุนใหม่ที่คาดน่าจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ ว่าจะเป็นไปตามผู้บริหารกล่าวหรือไม่
สำหรับภายใต้ประมาณการใหม่มูลค่าพื้นฐานปี 2564 อยู่ที่ 45 บาทต่อหุ้น (เดิม 44) โดยราคาหุ้นผ่านการปรับฐานไปแล้วระดับหนึ่งจนเริ่มเห็น Upside ที่จูงใจให้เข้าลงทุน จึงปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” แต่คาดช่วงสั้นอาจยังมีกระแสการเพิ่มทุนกดดัน จึงให้หาจังหวะเข้าทยอยสะสมลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว