AH พุ่ง 5% โบรกฯมองกำไร Q2 แตะ 264 ลบ. รับดีมานด์ฟื้น – คุมต้นทุนดี ชูเป้า 28.70 บ.
AH พุ่ง 5% โบรกฯแนะ “ซื้อ” เป้า 28.70 บ. คาดกำไรไตรมาส 2 แตะ 264 ลบ. พลิกกำไรจากปีก่อน รับดีมานด์ฟื้น – คุมต้นทุนดี หนุนกำไรครึ่งปีแรกที่ 665 ลบ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (4 ส.ค. 2564) ราคาหุ้น บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH ณ เวลา 12.19 น. อยู่ที่ระดับ 23.20 บาท เพิ่มขึ้น 1.20 บาท หรือ 5.45% โดยทำจุดสูงสุดที่ 23.40 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 21.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 101.27 ล้านบาท
บริษัท หลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (27 ก.ค. 2564) โดยคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 2/2564 จะมีกำไรสุทธิ 254 ล้านบาท พลิกจากไตรมาส 2/2563 ที่ขาดทุนสุทธิ 631 ล้านบาท เนื่องจากปีก่อนค่ายรถยนต์มีการหยุดสายการผลิตชั่วคราวประมาณ 1 เดือน แต่ลดลง 38% จากไตรมาสก่อน ตามปัจจัยฤดูกาลที่มีวันหยุดมาก
โดยหากไม่นับรวมกำไรอัตราแลกเปลี่ยนจากการอ่อนค่าของเงินบาท คาดกำไรปกติอยู่ที่ 184 ล้านบาท ลดลง 40% จากไตรมาสก่อน โดยรายได้จากการขายและบริการ เพิ่มขึ้น 142% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 14% จากไตรมาสก่อน อยู่ที่ 4.80 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จากฐานที่ต่ำในปีก่อนแต่ลดลงจากไตรมาสก่อนในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรมของไทยในไตรมาส 2/2564 ที่มียอดผลิตรถยนต์ที่ 3.79 แสนคัน เพิ่มขึ้น 149% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 19% จากไตรมาสก่อน ประกอบกับธุรกิจในโปรตุเกสประสบปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนชิป โดยคาดส่งกระทบต่อยอดขายราว 20% จากไตรมาสก่อน
ส่วนธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์คาดรายได้ลดลงราว 8 – 10% จากไตรมาสก่อนจากการประกาศ Lockdown ใน มาเลเซียตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. ด้านอัตรากำไรขั้นต้นคาดอยู่ที่ 11% จากงวดไตรมาส 1/2564 ที่ 12.10% ตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ลดลง แต่ถือว่ายังอยู่ในระดับสูงจากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ด้าน SG&A และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจ่ายยังควบคุมได้ดีส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 5.30% จากงวดไตรมาส 1/2564 ที่ 7.40% ทั้งนี้หากผลประกอบการออกมาตามคาดกำไรสุทธิครึ่งแรกปี 2564 จะอยู่ที่ 665 ล้านบาท พลิกจากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 301 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลัง 2564 คาดผลประกอบการยังสามารถเติบโตต่อเนื่องจากงวดเดียวกันของปีก่อน จากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ทยอยฟื้นตัวและมีโอกาสที่ยอดผลิตรถยนต์ในประเทศปี 2564 จะเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดการณ์ของ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่ 1.55 – 1.60 ล้านคัน โดยมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้ถึง 1.65 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 15% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หลังจากยอดผลิตครึ่งแรกปี 2564 ทำได้แล้ว 8.45 แสนคัน เพิ่มขึ้น 39% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แม้มีปัจจัยเสี่ยงจาก COVID-19 สายพันธุ์เดลต้า รวมถึงปัญหาขาดแคลนชิป
อย่างไรก็ตามผู้บริหารคาดว่าลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทได้รับผลกระทบอย่างจำกัด (สัดส่วนรายได้จากค่าย Toyota แค่ 2% กระทบน้อยจากการหยุดสายการผลิตตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. ขณะที่การ Lockdown ในไทยและมาเลเซียเดือน ก.ค. กระทบโชว์รูมแต่ศูนย์บริการยังดำเนินการได้ ส่วนปัญหาขาดแคลนชิปในยุโรปคาดเริ่มคลี่คลายในไตร 3/2564)
ทั้งนี้ในปี 2564 คาดว่ายอดขายของบริษัทจะสามารถเติบโตได้ดีกว่าอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น 26% จากงวดเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 2.17 หมื่นล้านบาท มาจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยรายได้ธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนฯ เติบโตจากส่วนงานต่างประเทศทั้งในโปรตุเกสและจีน ส่วนรายได้ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เติบโตการรับรู้รายได้ศูนย์บริการรถยนต์ใหม่ทั้ง 4 แห่งเข้ามาเต็มปี ภายใต้สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น 11.50% โดยทางฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรปกติปี 2564 ที่ 1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 597% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2565 ที่ 1.20 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคาเหมาะสมปี 2564 อยู่ที่ 28.70 บาท (บนฐาน Fully Diluted Norm EPS จากการ จ่าย Stock Dividend ที่ 2.87 บาท/หุ้น) อิงค่า P/E Multiple ที่ 10.0 เท่า แนะนำ “ซื้อ” โดย AH มีจุดเด่นจากการเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลก และยังมีธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ช่วยเสริม รับประโยชน์ในช่วงอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกฟื้นตัว ทั้งนี้งานผลิตเพลารถยนต์ รุ่นใหม่มูลค่า 1 พันล้านบาทต่อปีและการเตรียมเปิดโชว์รูม MG ช่วงปลายไตรมาส 4/2564 จะส่งผลให้แนวโน้มกำไรปี 2564 – 2565 เติบโตโดดเด่น ขณะที่ Valuation Forward Norm PER 2564 ต่ำเพียงแค่ 7.70 เท่า และคาดอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ปี 2564 ราว 5% จัดว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจในการลงทุน