BPP พุ่งแรง 6% รับกำไรไตรมาส 2 โตทะลุพันล้าน อานิสงส์ส่วนแบ่ง “โรงไฟฟ้าหงสา”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (9 ส.ค. 2564) ราคาหุ้นบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ปิดตลาด อยู่ที่ระดับ 18.60 บาท เพิ่มขึ้น 1.10 บาท หรือ 6.29% โดยทำจุดสูงสุดที่ 18.80 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 17.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 310.31 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (9 ส.ค.2564) โดยประเมินต่อหุ้น BPP ว่ามีผลการดำเนินงานแข็งแกร่งทั้งจากไตรมาสก่อนและจากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากโรงไฟฟ้า HPC หรือ โรงไฟฟ้าหงสา ซึ่งสร้างส่วนแบ่งกำไร 1.10 พันล้านบาท จาก 819 ล้านบาทในไตรมาส 1 เป็นผลจากการดำเนินงานฟื้นตัวในทั้งสามหน่วย ซึ่งเพิ่มค่าความพร้อมจ่าย (EAF) เป็น 92% จาก 83% ในไตรมาส 1 และจาก 78% ในปีที่แล้ว

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานโรงไฟฟ้า BLCP ฟื้นตัวและสร้างส่วนแบ่งกำไร 78 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 66% จากไตรมาสก่อนโดยมี EAF ที่ 87% จาก 85% ในไตรมาส 1 ทำให้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น 59% จากไตรมาสก่อนเป็น 1.20 พันล้านบาท ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (CHP) สามแห่งในจีนมีรายได้ลดลง 19% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดขายไฟฟ้าลดลง 38% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และยอดขายไอน้ำลดลง 25% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ด้านราคาถ่านหินในจีนเพิ่มขึ้นเป็น 733RMB/t จาก 721RMB/t ในไตรมาส 1 ทำให้กำไรขั้นต้นลดลงเป็นขาดทุน 103 ล้านบาท จากกำไร 128 ล้านบาทในไตรมาส 1 อย่างไรก็ดี BPP มีกำไรสุทธิไตรมาส 2 ที่ 1.10 พันล้านบาท (0.37 บาท EPS) เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้น 65% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ผลประกอบการของโรงไฟฟ้า CHP ทั้งสามแห่งในจีนยังถูกกดดันจากราคาถ่านหินในประเทศที่อยู่ในระดับสูง โดยในไตรมาส 3 ทางฝ่ายวิจัยคาดส่วนแบ่งกำไรจะอ่อนแอลงหลักๆมาจาก HPC และ BLCP เนื่องจากผลของฤดูกาล จึงทำให้กำไรสุทธิมีแนวโน้มอ่อนแอลงจากไตรมาสก่อน

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยแนะนำ “ถือ” ให้ราคาเป้าหมายด้วยวิธี DCF ที่ 18.00 บาทต่อหุ้นเทียบเท่า 12.9 เท่า ปี 2564 ค่า PE และ ผลตอบแทนปันผล 4.40%  โดย BPP ตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 5.3GWe ภายในปี 2568 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ท้าทายจากกำลังการผลิตปัจจุบันที่ 2.9GWe valuation ของ BPP ที่ไม่แพงจะจำกัดดาวน์ไซด์