หุ้นยุโรปปิดบวก ตลาดคาดเฟดชะลอขึ้นดบ.หลังตัวเลขจ้างงานน่าผิดหวัง
ตลาดหุ้นยุโรปปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (2 ต.ค.) เนื่องจากข้อมูลแรงงานสหรัฐที่ออกมาย่ำแย่ได้จุดกระแสคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐอาจจะชะลอการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยออกไปก่อน
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.5% ปิด (2 ต.ค.) ที่ 347.86 จุด สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีปรับตัวลง 0.4%, ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น 32.34 จุด หรือ 0.73% ปิดที่ 4,458.88 จุด, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันเพิ่มขึ้น 43.82 จุด หรือ 0.46% ปิดที่ 9,553.07 จุด และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนเพิ่มขึ้น 57.51 จุด หรือ 0.95% ปิดที่ 6,129.98 จุด
ดัชนีหุ้นยุโรปพุ่งขึ้นไปถึง 1.7% ก่อนที่จะพลิกกลับมาร่วงลง 0.9% ภายหลังการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานสหรัฐ ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 5.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 7 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2008 ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ส่วนอัตราการว่างงาน คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 5.1%
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนเริ่มหันไปให้ความสนใจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังอาจทำให้เฟดตัดสินใจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากที่คาดกันว่าจะเป็นปีนี้ออกไปเป็นปีหน้า ส่งผลให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง
ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดเผยข้อมูลแรงงาน เจ้าหน้าที่หลายรายของธนาคารกลางสหรัฐต่างออกมาแสดงความเห็นในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบ 9 ปีว่ามีแนวโน้มจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ซึ่งสะท้อนถึงถ้อยแถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด
นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ได้กล่าวสุนทรพจน์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยประเมินว่าเฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ภายในสิ้นปีนี้
ประธานเฟดระบุว่ามีแนวโน้มที่จะมีความเหมาะสมในการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับมาสู่เป้าหมายที่ 2% ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อปัจจัยชั่วคราวที่กดดันเงินเฟ้อได้จางหายไป พร้อมกล่าวว่าภาวะอ่อนแอของเศรษฐกิจทั่วโลกไม่มีแนวโน้มจะมีนัยสำคัญมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงินของเฟด
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ได้แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน และอาจสะกิดให้เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของเฟดต้องทบทวนท่าทีในการปรับขึ้นดอกเบี้ย
สำหรับในช่วงแรกของการซื้อขายนั้น หุ้นยุโรปพุ่งขึ้น หลังจากที่นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป กล่าวในนิวยอร์ก เมื่อวันพฤหัสบดีว่า เศรษฐกิจยุโรปกำลังกลับสู่การขยายตัวอีกครั้ง พร้อมย้ำคำมั่นที่เขาได้เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ถึงการผลักดันสหภาพการเงินให้เกิดขึ้นในภูมิภาค นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายยังได้ปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวขึ้นอีกด้วย หลังจากที่จีนเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
หุ้นกลุ่มพลังงานยุโรปปรับตัวขึ้น โดยโททาล และ บีพี พุ่งขึ้นกว่า 2% ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารในอังกฤษปรับตัวขึ้น โดยสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่ง 2.92% ลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป บวก 1.77% บาร์เคลย์ บวก 0.6% และรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ เพิ่มขึ้น 0.5% หลังมีข่าวว่าหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินและการธนาคารของอังกฤษเสนอให้มีการกำหนดเส้นตายสำหรับผู้บริโภคในการขอค่าชดเชยเงินประกันคุ้มครองการชำระเงิน (Payment Protection Insurance: PPI)
หุ้นดอยช์ ลุฟท์ฮันซา พุ่ง 4.15 หลังเอชเอสบีซีอัพเกรดหุ้นจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” เนื่องจากมีแนวโน้มว่า ทางสายการบินจะสามารถยุติข้อพิพาทกับนักบิน ตลอดจนได้รับอานิสงส์จากความต้องการที่แข็งแกร่งและต้นทุนเชื้อเพลิงที่ถูกลง
ส่วนหุ้นลบนั้น นำโดยกลุ่มโทรคมนาคมและยานยนต์ โดยเทเลคอม อิตาเลีย ร่วง 2.7% ขณะที่โฟล์คสวาเกน ร่วง 4.3% หลังจากทางการฝรั่งเศสได้เริ่มดำเนินการตรวจสอบรถยนต์ของโฟล์คสวาเกน สืบเนื่องจากกรณีอื้อฉาวเรื่องการโกงค่าไอเสีย