เปิด 50 หุ้น SET ผลงานไตรมาส 2 เทิร์นอะราวด์! สวนพิษโควิด
เปิด 50 หุ้น SET ผลงานไตรมาส 2/64 เทิร์นอะราวด์! สวนพิษโควิด นำทีมเด่น IRPC,BCP,BANPU,ESSO และ PSL
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการสำรวจกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ที่ประกาศงบการเงินไตรมาส 2 ปี 2564 โดยมีพลิกมีกำไรโดดเด่นมานำเสนอ เพื่อให้เห็นแนวโน้มธุรกิจฟื้นตัวโดดเด่นท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจขาลงและเผชิญการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างหนักจนถึงขณะนี้
สำหรับหุ้นที่พลิกมีกำไรโดดเด่นได้คัดเลือกมานำเสนอ 50 บริษัท โดยได้คัดเลือกจากการเรียงข้อมูลกำไรมากสุดไปหาน้อย และจะขอนำเสนอข้อมูลประกอบหุ้น 5 อันดับแรกของตาราง และมีความน่าสนใจเนื่องจากเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่สามารถพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมาเติบโตแข็งแกร่งอย่างชัดเจน อีกทั้งมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว อาทิ IRPC,BCP,BANPU, ESSO และ PSL
อันดับ 1 บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC กำไรสุทธิไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ระดับ 4,574.16 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 410.93 ล้านบาท โดยไตรมาส 2/2564 บริษัทฯมีรายได้จากการขายไตรมาส 2/2564 สุทธิ 56,858 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากราคาขายเพิ่มขึ้น 16% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและปริมาณขายเพิ่มขึ้น 2%
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า IRPC (TP22F 4,8*) คาดกำไรปี 2564 แตะ 8.6 พันลบ. พลิกจากขาดทุนปีก่อน โดยระยะสั้น คาดไตรมาส 3/2564 แม้แนวโน้มลดลง จากโอกาสบันทึก Stock loss และสเปรดปิโตรเคมีลง แต่มองสเปรดจะเริ่มทรงตัวในไตรมาส 4/2564 และปรับขึ้นใน 2565 รวมถึง ค่าการกลั่นที่ดีขึ้นใน 2565 ราคาหุ้นปัจจุบัน ซื้อขายที่ระดับ PBV ที่ 0.89 เท่า ขณะที่ ภาพธุรกิจสู่ Cycle ทำกำไร 2564-2566
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 24 ส.ค.2564 มีมติอนุมัติจ่ายปันผลจากกำไรสะสม เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 7 ก.ย.2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 ก.ย.2564
อันดับ 2 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP กำไรสุทธิไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ระดับ 1,764.55 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 1,910.72 ล้านบาท โดยไตรมาส 2/2564 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 43,775 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% มี Operating EBITDA 3,059 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มี EBITDA 4,269 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มี Inventory Gain 1,299 ล้านบาท มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 1,765 ล้านบาท
อีกทั้งประกาศจ่ายปันผลจากกำไรสะสมเป็นเงินสด 1.00 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล หรือ XD วันที่ 8 ก.ย. 64 และกำหนดจ่าย 21 ก.ย.64
ด้านนายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด BCP เปิดเผยว่า บริษัทฯ สร้างรูปแบบธุรกิจ “บางจาก Food Truck” โดยจับมือหลากหลายแบรนด์ชั้นนำเข้ามาเปิดให้บริการในรูปแบบ Grab & Go ได้แก่ A&W, Bar B Q Plaza, Crop-pul, Daily Queen, Ka nom, Milk Land, อโณไทย by Arnos รวมทั้งอาหารจานเด็ด ผัดไทยไฟทะลุ โดยแอนดี้ หยาง เชฟระดับมิชลินชาวไทยคนแรก, QQ โดยเชฟวิลเมนท์ ลีออง กรรมการท็อป เชฟ ไทยแลนด์ ตลอดจนสินค้าไลฟ์สไตล์ ได้แก่ B2S และ Jaymart
ทั้งนี้ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าที่นอกจากจะเข้ามาเติมน้ำมัน ยังสามารถเลือกซื้ออาหารอร่อยและสินค้าสำหรับชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ในที่เดียว ทั้งยังได้มาตรฐานด้านความสะอาดและคุณภาพดี เป็นรูปแบบธุรกิจที่ตอบรับชีวิตยุค New Normal ที่ต้องมีการเว้นระยะห่าง (Social Distancing) เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงสอดคล้องกับแนวคิด Greenovative Destination ที่บางจากฯ มีเป้าหมายพัฒนาให้สถานีบริการน้ำมันบางจากเป็นจุดหมายปลายทางที่จะเติมเต็มความต้องการของลูกค้ามากกว่าผลิตภัณฑ์น้ำมันคุณภาพสูง แต่ยังตอบโจทย์วิถีชีวิตที่ปรับเปลี่ยนไปของผู้บริโภค
โดยปัจจุบันได้เปิด “บางจาก Food Truck” แล้วที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก สาขาถนนศรีนครินทร์ และสาขาถนนกาญจนาภิเษก กม.41 โดยเปิดบริการทุกวันเวลาประมาณ 9.30-18.30 น. ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และวางแผนจะขยาย “บางจาก Food Truck” อีกกว่า 15 สาขาภายในปีนี้
สำหรับจุดแข็งของธุรกิจรูปแบบ Truck ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก คือ ผู้ประกอบการสามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีความพร้อมด้านสถานที่และสิ่งอำนวยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่จอดรถ ห้องน้ำ ฯลฯ อีกทั้งยังเลือกพื้นที่ให้เหมาะสมกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น เพราะสถานีบริการน้ำมันบางจากมีสาขาจำนวนมาก ครอบคลุมถนนสายหลักทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล ที่ตั้งอยู่ทั้งบนถนนใหญ่และชุมชน ทำให้รูปแบบธุรกิจนี้ ได้รับความสนใจและตอบรับเป็นอย่างดีจากแบรนด์ชั้นนำ และมั่นใจว่ารูปแบบ Food Truck ในสถานีบริการน้ำมันบางจากจะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคและเติบโตได้ในระยะยาว
อันดับ 3 บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU กำไรสุทธิไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ระดับ 1,325.46 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 2,514.39 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 ที่ทำให้ผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นคือการเข้าไปลงทุนตามแผนกลยุทธ์ Greener & Smarter ทั้งจากการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลการดำเนินครึ่งแรกของปี 2564 สามารถรักษากระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง
ด้านรายได้จากการขายในครึ่งแรกของปี 2564 รวม 1,535 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 47,325 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 582 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 17,948 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 147 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 93 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,861 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 488 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้บริษัทมีมติอนุมัติการจ่ายปันผลงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2564 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2564 และกำไรสะสม เป็นเงินสดในอัตรา 0.20 บาท/หุ้น กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 8 ก.ย.2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 ก.ย.2564
อันดับ 4 บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO กำไรสุทธิไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ระดับ 858.12 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 2,504.19 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานพลิกมีกำไร เนื่องจากบริษัทรายได้จากการขาย 41,070 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2564 ที่มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 24,413 ล้านบาท มีสาเหตุหลักมาจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่
อันดับ 5 บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL กำไรสุทธิไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ระดับ 858.12 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 2,504.19 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการเดินเรือสุทธิ (รายไดจ้ากการเดินเรือสุทธิจากรายจ่ายท่าเรือและน้ำมันเชื้อเพลิง) ของไตรมาส 2/2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 192 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2563
โดยสาเหตุหลักเนื่องมาจากรายได้เฉลี่ยต่อวันต่อลำเรือเพิ่มขึ้นจาก 6,099 เหรียญสหรัฐ ในไตรมาส 2/2563 เป็น 17,841 เหรียญสหรัฐในไตรมาส 2/2564 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ตลาดอัตราค่าระวางเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองฟื้นตัวขึ้น
อีกทั้งค่าใช้จ่ายทางการเงินสำหรับไตรมาส 2/2564 ลดลง 50.07 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2563 เนื่องมาจากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง LIBOR ที่ลดลงและหนี้คงเหลือที่ลดลง ขณะที่กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น 73.59 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของค่าเงินที่เอื้ออำนวยให้ มูลค่าที่เทียบเท่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐของหุ้นกู้ลดลง
ด้าน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (9 ส.ค.) คาด PSL ไตรมาส 3/2564 ยังดีต่อเนื่อง จะเติบโตได้ทั้งเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบจากปีก่อน โดย 1 ก.ค.-5 ส.ค. ดัชนี BHSI และ BSI ยังเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 2/2564 ที่ 35% และ 25% และค่าเฉลี่ยไตรมาส 3/2563 ที่ 232% และ 220% จาก high season และ Demand ยังดี
ทั้งนี้ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 2565 ที่ 27.25 บาท จากจากค่าระวางที่สูงต่อ เนื่องจึงปรับกำไรปี 64 ขึ้นเป็น 2,693 ล้านบาท และบนสมมุติฐานค่าระวางโต 5% ในปี 2565 คาดกำไรที่ 2,822 ล้านบาท โดยอัตราการเติบโตที่ลดลง จึงปรับ P/E ลงเป็น 15 เท่า
นายคาลิด มอยนูดดิน ฮาชิม กรรมการผู้จัดการ PSL เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/64 จะเติบโตจากไตรมาส 2/64 เนื่องจากธุรกิจเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นที่ความต้องการใช้เรือขนส่งในการขนส่งสินค้าจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการขนส่งกลุ่มสินค้าประเภทเหล็กที่ยังสูงอย่างต่อเนื่อง หลังจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ กลับมาดำเนินการผลิตได้อีกครั้ง รวมถึงสหรัฐฯและยุโรปไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้ามากนัก จึงยังไม่มีการปิดเมืองและล็อกดาวน์ ส่งผลให้กิจกรรมการส่งออกยังคงทำได้ตามปกติ ขณะที่ยังไม่มีซัพพลายเรือใหม่เข้ามาในตลาดมากนัก
ขณะที่ดัชนีค่าระวางเรือเทกอง (BSI Index) ในปัจจุบันกลับตัวขึ้นมาอีกครั้งในช่วงสิ้นเดือน ก.ค.64 จนถึงปัจจุบันที่ระดับ 3,292 จุด หลังจากลดลงมาในช่วงต้นเดือนถึงกลางเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา จากระดับสูงสุดที่ 3,418 จุดในช่วงเดือน มิ.ย.64 ส่งผลบวกต่อภาพรวมของไตรมาส 3/64 จากค่าระวางเรือยังสูงมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้ปรับลดลงไปมากจากระดับสูงสุดในช่วงไตรมาส 2/64 มากนัก ทำให้ยังเห็นภาพของผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ PSL
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงต้องเน้นการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง พร้อมกับการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เพราะสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบันที่กระทบในภูมิภาคเอเชียค่อนข้างมาก อาจจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนและค่าระวางเรือยังมีความผันผวน โดยเฉพาะการแพร่ระบาดในจีน หากมีมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดมากขึ้นอาจส่งผลกระทบให้มีการปิดรท่าเรือบางส่วน และทำให้การขนส่งล่าช้า ก็จะทำให้ค่าระวางเรือปรับตัวลดลงได้อีกเหมือนช่วงต้นเดือนก.ค.64 ขณะที่บริษัทจะพยายามรักษาระดับกองเรือให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยเฉพาะอายุของกองเรือที่ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 20-25 ปี
ด้านค่าเงินบาทที่อ่อนค่าในปัจจุบันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท เพราะการให้บริการขนส่งทางเรือรับรู้รายได้เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่จะเป็นผลบวกต่อการบันทึกเป็นเงินบาทที่จะได้รับปัจจัยบวกจากการอ่อนค่า ซึ่งทำให้ผลการดำเนินงานสูงขึ้นได้
“ปีนี้เชื่อว่าจะเป็นปีที่ธุรกิจได้รับปัจจัยบวกจากการค้าขายของโลกที่กลับมามากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และโควิดครั้งนี้ก็ไม่มีผลกระทบมาก ทำให้เรายังสามารถดำเนินงานได้ต่อเนื่อง ค่าระวางเรือก็กลับมาในระดับที่สูงกว่าช่วงหลายๆปีมาก และการปรับกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นบริการแก่ผู้ประกอบการที่ใช้บริการต่อเนื่อง เพื่อทำให้มีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ”นายฮาซิม กล่าว