APURE บวกแรง 5% รับยอดขายข้าวโพดหวานพุ่ง! ลุ้นกำไรปีนี้โตแตะ 509 ลบ.
APURE บวกแรง 5% โดย ณ เวลา 11.23 น. อยู่ที่ระดับ 9.00 บาท บวก 0.40 บาท รับยอดขายข้าวโพดหวานพุ่ง! ลุ้นกำไรปีนี้โตแตะ 509 ลบ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(2 ก.ย.64)ราคาหุ้นบริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APURE ณ เวลา 11.23 น. อยู่ที่ระดับ 9.00 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 4.65% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 176.76 ล้านบาท
โดยบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 509 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2565 อยู่ที่ 425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ
ขณะเดียวกันมีการประเมินอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2564 ที่ 28.2% และในปี 2565 ที่ 28.5% ตามลำดับ และคาดการณ์ว่ารายได้รวมในปี 2564 อยู่ที่ 2,727 ล้านบาท และในปี 2565 อยู่ที่ 3,166 ล้านบาท
ซึ่งปัจจัยหนุนการเติบโตของผลประกอบการในอนาคต อย่างจากการเติบโตในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะอเมริกาและยุโรป ซึ่งมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมากปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากอเมริกาและยุโรปคิดเป็น 20% และ 10% ของยอดขายทั้งหมดตามลำดับ นอกจากนี้บริษัทยังได้เปรียบคู่แข่งทางด้านภาษีในยุโรปอีกด้วย
โดยก่อนหน้านี้นายสุเรศพล จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกรรมการ APURE ผู้ส่งออกข้าวโพดหวานแปรรูปคุณภาพสูง แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 664.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.77% และกำไรสุทธิ 86.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.04% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 19.17% และกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 38.29% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ)
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2564 บริษัทฯมีรายได้รวม 1,222.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.14% และมีกำไรสุทธิ 149.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.91% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
ทั้งนี้ สาเหตุที่รายได้เพิ่มขึ้นจากบริษัทฯ มียอดขายสินค้าทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ถึงแม้จะมีสถานการณ์โรคระบาดจากไวรัสโควิค-19 แต่ยังคงมีการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างใกล้ชิด และยังมุ่งเน้นหาลูกค้ารายใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทฯได้เดินหน้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดสำหรับประเทศที่บริษัทฯมีการจำหน่ายสินค้าไปอยู่แล้ว อาทิ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี และไต้หวัน รวมถึงการปรับปรุงรูปแบบสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้ขยายตลาดไปยังประเทศสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดออเดอร์ตลาดวอลมาร์ท (Walmart) ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่จากประเทศสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป ที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก แม้ว่าจะมีผลกระทบจากสถานการณ์ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน ในผู้ประกอบการรายเล็ก แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการรายใหญ่มีผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากผู้ประกอบการบางรายมีสายเรือเป็นของตัวเอง และบางรายสามารถบริหารจัดการพื้นที่การขนส่งได้เพราะมีปริมาณการขนส่งสินค้าจำนวนมาก ซึ่งกลุ่มนี้เป็นลูกค้าของบริษัทฯ
อย่างไรก็ตาม ด้วยคำสั่งซื้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีผลให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยปรับตัวลดลง ประกอบกับที่ผ่านมาบริษัทฯได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ระดับ 50% เนื่องจากเงินบาทมีทิศทางที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้บริษัทได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าลง จึงปัจจัยที่เข้ามาช่วยสนับสนุนอัตราการทำกำและการเติบโตของของกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 2/2564 ปรับตัวในทิศทางที่ขึ้น