“ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป” มั่นใจเทรดพรุ่งนี้ยืนเหนือจองจาก IPO 1.95 บ.
ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป หรือ TFG มั่นใจเข้าเทรดพรุ่งนี้เหนือจองจาก IPO 1.95 บ. จำนวน 1.1 พันล้านหุ้น บริษัทมีบล.เคที ซีมิโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย โบรกฯให้ราคาเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ที่ 3.30 บ.
นายวินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG เปิดเผยว่า บริษัทจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกในวันที่ 8 ต.ค.58 โดยใช้ชื่อย่อการซื้อขายว่า ‘TFG’ หลังเสนอขาย IPO จำนวน 1.1 พันล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท ในราคาจองซื้อ 1.95 บาท ระหว่างวันที่ 29 ก.ย. ถึง 2 ต.ค.58 ที่ผ่านมา โดยนักลงทุนให้การตอบรับจองซื้อหุ้น IPO ของ TFG เป็นอย่างดี เนื่องจากราคา IPO เป็นราคาที่ให้ส่วนลดแก่นักลงทุนกว่า 40% จากราคาเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ที่ 3.30 บาท
สำหรับ TFG เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการผลิตไก่และสุกร โดยดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม ประกอบด้วย 4 สายธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจไก่ ซึ่งดำเนินการเพาะพันธุ์ไก่ ผลิตและจำหน่ายเนื้อไก่ ลูกไก่ ไก่พันธุ์เนื้อ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อไก่ ส่วนธุรกิจสุกรได้ดำเนินการเพาะพันธุ์สุกรและจำหน่ายสุกรมีชีวิต ธุรกิจอาหารสัตว์ที่มุ่งเน้นผลิตและจำหน่ายอาหารสำหรับไก่และสุกร และธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาวัคซีนและเวชภัณฑ์ ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารสัตว์ และอุปกรณ์ทางการเกษตรที่ทำจากพลาสติกอีกด้วย
แผนดำเนินงานหลังจากจดทะเบียนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น บริษัทฯ จะเดินหน้ามุ่งขยายตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อไก่สดไปยังตลาดอียูและญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการส่งออกให้มากขึ้น รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่วัตถุดิบด้วยการนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานภายใต้แบรนด์ ‘ไทยอร่อย’ ที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายให้แก่ผลิตภัณฑ์ โดยปัจจุบันได้เริ่มทำตลาดผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเป็นที่เรียบร้อยแล้วและมีแผนขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ เพิ่มเติม คาดว่าจากแผนงานดังกล่าว จะช่วยให้ TFG สามารถรักษาอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม และช่วยรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นได้ดีขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่ในระดับ 15%
เนื่องจากบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ไปลงทุนสร้างความแข็งแกร่งให้แก่การดำเนินธุรกิจของ TFG ทั้งการลงทุนโรงงานผลิตไส้กรอกไก่ ปรับปรุงโรงผลิตชิ้นส่วนไก่เพื่อการส่งออก ลงทุนในโรงผลิตชิ้นส่วนสุกร โรงงานผลิตอาหารสัตว์ และขยายฟาร์มพ่อแม่พันธุ์ไก่/สุกร เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและสนับสนุนการสร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบรองรับแผนงานในอนาคต และจะนำส่วนที่เหลือไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลง เหลือ 1.5-1.6 เท่า จากเดิมที่ 3.3 เท่า ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ TFG ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นและสามารถนำเงินมาจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้
นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เคที ซีมิโก้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า แนวโน้มราคาเนื้อไก่และสุกรภายในประเทศอยู่ในช่วงขาขึ้น หลังราคาเนื้อไก่และสุกรได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 1/58 และได้ทยอยปรับราคาสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ปัจจัยค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงนั้น ยังช่วยหนุนศักยภาพการส่งออกเนื้อไก่สดไปยังตลาดอียูและญี่ปุ่นได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ TFG สามารถแข่งขันด้านการส่งออกได้ดีขึ้น พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มทางวัตถุดิบด้วยการมุ่งสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ที่สามารถสร้างอัตราการทำกำไรขั้นต้นที่ดี เข้ามาช่วยผลการดำเนินงานของ TFG ให้พลิกฟื้นในทิศทางที่ดีขึ้น
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.ทรีนิตี้ และ บล.เคเคเทรด มีมุมมองต่อทิศทางการดำเนินงานของ TFG ในปี 59 ที่คาดว่าจะกลับมามีกำไรสุทธิ 820-876 ล้านบาท หลังผ่านจุดต่ำสุดในปี 58 ที่ขาดทุนจากซัพพลายไก่ที่เกินความต้องการของตลาด โดยกำไรที่พลิกกลับมาเติบโตในปี 59 นั้นมาจาก TFG ได้เร่งดำเนินการส่งออกเนื้อไก่สดไปยังอียูและญี่ปุ่นที่มีอัตรากำไรต่อชิ้นมากกว่าการจำหน่ายภายในประเทศ
ขณะเดียวกัน TFG ยังขยายตลาดผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและธุรกิจปลายน้ำอื่นๆ จากเนื้อสัตว์ที่ผลิตได้ ซึ่งมีผลต่ออัตราการทำกำไรขั้นต้นของ TFG ดียิ่งขึ้น โดยคาดว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยระยะ 3 ปี หรือปี 59-62 อยู่ที่ 20% ต่อปีและคาดทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.5% ต่อปี ทั้งนี้ จึงได้ประเมินราคาที่เหมาะสม (Fair Value) ของหุ้น TFG ในปี 59 ไว้ที่ 3.15-3.28 บาทต่อหุ้น