SPRC บวก 5% รับค่าการกลั่นครึ่งหลังฟื้นตัว! ลุ้นผลงานปีนี้เทิร์นอะราวด์
SPRC บวก 5% รับค่าการกลั่นครึ่งหลังฟื้นตัว! ลุ้นผลงานปีนี้เทิร์นอะราวด์ โบรกฯแนะซื้อเป้า 10.90 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (27 ก.ย. 2564) ราคาหุ้นบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ณ เวลา 16.07 น. อยู่ที่ระดับ 9.55 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 5.52% โดยทำจุดสูงสุดที่ 9.60 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 9.05 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 506.34 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (14 ก.ย. 2564) โดยประเมินแนวโนมค่าการกลั่นเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง (Gasoline spread เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ก่อนหน้า, Diesel spread เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ก่อนหน้า, Jet oil spread เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ก่อนหน้า)
อีกทั้งคาด Demand การใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเครื่องบินจะฟื้นตัวเด่นในไตรมาส 4/2564 ที่เป็นฤดูหนาวและฤดูท่องเที่ยว (คาดหลายประเทศเริ่มเปิดน่านฟ้าหลังวิกฤตโควิด-19 เริ่มผ่อนคลาย) นอกจากนี้ค่า PBV ที่ 1.26 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 1.40 เท่า ขณะที่คาดพ้นวัฏจักรขาลงของค่าการกลั่น ทั้งนี้แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 10.90 บาท
โดยก่อนหน้านายวิชัย ชุณหสมบูรณ์ ผู้จัดการฝ่ายการเงินและการคลัง SPRC เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าการกลั่นตลาด (Market GRM) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 คาดว่าจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 3-4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา เทียบกับไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 2.65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ที่บริษัทได้รับผลกระทบจากส่วนเพิ่มของราคาน้ำมันดิบ (Crude premium) ที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกสาม ส่งผลให้ยอดขายลดลง
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในช่วงไตรมาส 3/2564 สถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น ความต้องการใช้กลุ่มแก๊สโซลีนมีการปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐฯและจีน ทำให้ดีมานด์ถูกดึงเข้าไปในตลาดดังกล่าวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ GRM ในช่วงไตรมาส 3/2564 มีโอกาสกลับมาอยู่ที่ระดับปกติ 3-4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนไตรมาส 4/2564 จะต้องดูแนวโน้มราคา Crude premium คาดว่าจะทรงตัวในระดับนี้ ดังนั้นจะส่งผลให้ภาพรวม GRM กลับสู่ภาวะปกติได้
ขณะที่ภาพรวมการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยในช่วงไตรมาส 2/2564 บริษัทคาดว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น ความต้องการใช้น้ำมันเครื่องบิน (เจท) จะเพิ่มขึ้น แต่การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกสาม ทำให้บริษัทต้องหันไปโฟกัสกลุ่มเบนซินและดีเซลแทน โดยผลิตน้ำมันเบนซิน สัดส่วน 28% ดีเซล 39% ขณะที่เจทอยู่ที่ 2% และน้ำมันเตา 4% อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ดีขึ้น และมีความต้องการใช้น้ำมันเจท บริษัทก็มีความพร้อมกลั่นทันที
อย่างไรก็ตามจากผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 24.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 37 ล้านเหรียญสหรัฐ และลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนอยู่ที่ 66 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งบริษัทประกาศงดจ่ายผลผลระหว่างกาลงวดวันที่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน 2564 เพราะแม้ว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิงวดดังกล่าว แต่ปัจจุบันบริษัทยังมีขาดทุนสะสมอยู่จำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากสิ้นปี 2563 สะสมอยู่ที่ 110 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นหากผลการดำเนินงานปี 2564กลับมาเป็นบวก บริษัทก็มีโอกาสที่จะจ่ายเงินปันผลได้ในปี 2564 หรือปี 2565 ซึ่งนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ