“ตระกูล ป.” กอดคอวิ่งคึก! รับราคาน้ำมันพุ่งแตะ 75.45 ดอลลาร์/บาเรล นิวไฮรอบ 3 ปี
“ตระกูล ป.” กอดคอวิ่งคึก! รับราคาน้ำมัน WTI พุ่งแตะ 75.45 ดอลลาร์/บาเรล นิวไฮรอบเกือบ 3 ปี รับความต้องการใช้น้ำมันฟื้น นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐวันพรุ่งนี้ ด้าน “โกลด์แมน แซคส์” ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในปีนี้ขึ้นสู่ระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรล จากระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ เวลา 10.15 น. ราคาหุ้น บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP อยู่ที่ระดับ 118.50 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 1.28% สูงสุดที่ระดับ 119.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 118.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 696.30 ล้านบาท
ด้านราคาหุ้น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT อยู่ที่ระดับ 40.75 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.62% สูงสุดที่ระดับ 41.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 40.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 801.31 ล้านบาท
ส่วนราคาหุ้น บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC อยู่ที่ระดับ 63.25 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 2.43% สูงสุดที่ระดับ 63.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 62.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.12 พันล้านบาท
เช่นเดียวกับราคาหุ้น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP อยู่ที่ระดับ 53.50 บาท บวก 1 บาท หรือ 1.90% สูงสุดที่ระดับ 54.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 53.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 647.33 ล้านบาท
ทั้งนี้ราคาหุ้นในกลุ่ม PTT ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หลังสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปีเมื่อคืนนี้ (27 ก.ย.) ขานรับการคาดการณ์ที่ว่า ความต้องการใช้น้ำมันจะพุ่งขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัว ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ รวมทั้งการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในวันที่ 4 ต.ค.
โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.47 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 75.45 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2561
โดยสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.44 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 79.53 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2561
ทั้งนี้สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดในแดนบวกติดต่อกัน 5 วันทำการ ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้นใกล้แตะระดับ 80 ดอลลาร์ ขานรับความหวังที่ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกจะเป็นปัจจัยหนุนความต้องการใช้น้ำมันให้พุ่งขึ้นด้วย
ด้าน เกร็ก ฮิลล์ ประธานบริษัท Hess Copr คาดการณ์ว่า ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 100 ล้านบาร์เรล/วันภายในสิ้นปี 2564 หรือภายในไตรมาสแรกของปี 2565 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าปริมาณการใช้น้ำมันดิบในปี 2562 หรือช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยข้อมูลจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุว่า ปริมาณการใช้น้ำมันทั่วโลกในปี 2562 อยู่ที่ระดับ 99.7 ล้านบาร์เรล/วัน
ทางด้านโกลด์แมน แซคส์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในปีนี้ขึ้นสู่ระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรล จากระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากคาดว่าความต้องการน้ำมันจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ คาดว่าการที่พายุเฮอริเคนไอดาส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกจะส่งผลให้เกิดภาวะอุปทานตัว และเป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดี โกลด์แมน แซคส์คาดว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดรอบใหม่ของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน และการที่กลุ่มโอเปกพลัสเพิ่มการผลิตนั้น จะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มราคาน้ำมันด้วย
นอกจากนี้นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการผลิตน้ำมันของโอเปกพลัสครั้งต่อไปในวันที่ 4 ต.ค. ซึ่งบรรดาประเทศผู้ผลิตน้ำมันจะตัดสินใจเกี่ยวกับแผนการด้านอุปทาน โดยคาดว่าการประชุมดังกล่าวจะมีผลต่อทิศทางราคาน้ำมัน