SVT ทะยาน 46% แวลู่แน่น 4.3 พันลบ. ชูจุดแข็งผู้นำ Vending Machine กำไร 3 ปีโตเฉลี่ย 40%

SVT วิ่งแรง 46% มูลค่าซื้อขายทะลัก 4.3 พันลบ. ชูจุดแข็งประสบการณ์ Vending Machine ยาวนาน 20 ปี จับตากำไร 3 ปีโตเฉลี่ย 40%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SVT ซึ่งเป็นหุ้นน้องใหม่ที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรกเมื่อช่วงเช้าวันนี้ด้วยราคาเสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ ไอพีโอ ที่ระดับ 2.54 บาท

โดยราคาหุ้น SVT เปิดเทรดวันแรกที่ระดับ 2.88 บาท ก่อนปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ณ เวลา 11:17 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 3.72 บาท บวก 1.18 บาท หรือ 46.46% สูงสุดที่ระดับ 3.98 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.33 พันล้านบาท

ด้านบริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ SVT ปี 2565 ที่ 3.50 บาท/หุ้น ด้วยวิธี DCF เทียบเท่า PER ปี 2565 ที่ระดับ 22.1 เท่า คิดเป็น -2.0 SD ของ PER กลุ่มค้าปลีก แต่สูงกว่าค่าเฉลี่ย PER ของธุรกิจคล้ายกัน (FSMART) เล็กน้อย

สำหรับจุดเด่นของ SVT ที่การเป็นผู้นำในธุรกิจขายสินค้าผ่านตู้อัตโนมัติ มีความได้เปรียบจากชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและศักยภาพในการแข่งขันสูงจากการมีโรงงาน Refurbishment เป็นของบริษัทเอง มีฐานรายได้หลัก 70-80% มาจากกลุ่มพื้นที่ปิดและอยู่ระหว่างปรับปรุงตู้ให้บริการที่ทันสมัยขึ้นรองรับกระแสสังคมไร้เงินสด

โดยคาดกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 75 ล้านบาท ฟื้นตัวเด่น 35% (จากปี 2563 ที่ลดลง 41%) เพราะรายได้กลับมาขยายตัว 10% และอัตรากำไรสุทธิดีขึ้น +70bps  เมื่อเทียบจากปีก่อน ตามรายได้ค่าโฆษณามากขึ้นและค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ลดลง หนุนคาดกำไรสุทธิช่วงปี 2564-2566 โตสูงเฉลี่ย 43% ดีกว่าปี 2563 ที่หดตัว -41% และคาดการณ์การเติบโตกลุ่มค้าปลีกเฉลี่ย 20% CAGR ปี 2564-2566

ทั้งนี้คาดรายได้ปี 2564-2566 จะค่อยๆ เร่งตัวขึ้นเป็นเติบโต 10% เมื่อเทียบจากปีก่อน เติบโต 24% เมื่อเทียบจากปีก่อน และเติบโต 22% เมื่อเทียบจากปีก่อน ตามลำดับ สูงกว่าการเติบโตในอดีต 2%CAGR ปี 2561-2563 โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจาก 1) แรงกดดันจากการระบาดของโควิด 19 ที่คาดจะค่อยๆ ลดลง คาดการบริโภคและการท่องเที่ยวช่วงปลายปี 2564-2566 จะทยอยฟื้นตัวดีขึ้นสอดคล้องกับโอกาสในการเติบโตของธุรกิจตู้ขายสินค้าอัตโนมัติที่ยังมีสูงจากสัดส่วนตู้ให้บริการต่อประชากรของไทยที่ยังต่ำ, การขยายตัวของสังคมเมืองและระบบขนส่งมวลชน

รวมทั้ง 2) จำนวนตู้อัตโนมัติที่ให้บริการมากขึ้นเป็น 20,000 เครื่องในปี 2566 จากสิ้นปี 2563 ที่มี 13,339 เครื่อง (เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 14%CAGR) และ 3) สัดส่วนของตู้อัตโนมัติแบบ Smart ที่สูงขึ้นเป็น 75%ของตู้ทั้งหมด จากสิ้นปี 2563 ที่มีสัดส่วนเพียง 4% ผลักดันคาดยอดขายเฉลี่ยต่อตู้ต่อวันจะค่อยๆ กลับมา โดยในปี 2565 คาดโต 8% เมื่อเทียบจากปีก่อน และในปี 2566 เติบโต 6% เมื่อเทียบจากปีก่อน

Back to top button