SELIC บวก 2 วันติด! พุ่งอีก 7% มั่นใจผลงานครึ่งหลังโตเด่น-ปักธงรายได้ปีนี้โต 15%

SELIC บวก 2 วันติด! พุ่งอีก 7% มั่นใจผลงานครึ่งหลังโตเด่น-ปักธงรายได้ปีนี้โต 15% ทุ่มงบ 100 ล้านลุยลงทุน 'สตาร์ตอัพ'


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(6 ต.ค.64) ราคาหุ้น บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC  ณ เวลา 15.56 น. อยู่ที่ระดับ 3.50 บาท บวก 0.22บาท หรือ 6.71% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 50.93 ราคาหุ้นวิ่งแรง 2 วันติด โดยวานนี้(5ต.ค.64) ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 3.28 บาท หรือเพิ่มขึ้น 5.13%

โดยก่อนหน้า นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  SELIC เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้รวมในปี 2564 จะเติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,257.88 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวมแล้วที่ 749.35 ล้านบาท เติบโต 22.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการที่ยังคงมีอยู่

ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัทประเมินการเติบโตของแต่ละกลุ่มธุรกิจดังนี้ 1. กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) ที่ระดับ 15% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกมีการเติบโต 18%,2. กลุ่มบรรจุภัณฑ์ (Packaging) จะเติบโต 20% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกมีการเติบโต 39%,3. กลุ่มโลจิสติกส์และอีคอมเมิร์ซ (Logistics / E-Commerce) จะเติบโต 10% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกมีการเติบโต 7%,4. กลุ่มผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน (Household Products) จะเติบโต 5% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกมีการเติบโต 30% และ5. กลุ่มรองเท้าและเครื่องหนัง (Shoes & Leather) จะเติบโต 5% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกมีการเติบโต 12%

ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 บริษัทหวังว่าจะเติบโตกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยปัจจุบันยังคงมียอดคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากลูกค้าภายในประเทศและลูกค้าต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังยังคงต้องติดตามปัจจัยภายนอก อย่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด

สำหรับกลยุทธ์หลักในการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเน้นขยายตลาดไปยังลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง สร้างผลกำไรที่ดี ขณะเดียวกันจะพัฒนาหรือหาสินค้าใหม่ ๆ เข้ามาเสริม รองรับความต้องการในอนาคต รวมถึงการปรับและพัฒนาสูตรสินค้า เพื่อลดผลกระทบของวัตถุดิบที่ขาดแคลน นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมความพร้อม ด้วยการลงทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องจักร เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต

นายเอก กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมเอกสารเพื่อเข้าลงทุนในบริษัท สตาร์ตอัพ (Startup) จำนวน 1 ดีล ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทที่มีความเข้าใจและเชี่ยวชาญการพัฒนาอุปกรณ์เกี่ยวกับข้อต่อที่เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ แบบ 3D ด้วยการใช้ระบบ AI ในการประมวลผล คาดจะเห็นการเข้าลงทุนภายในปี 2564 โดยเบื้องต้นคาดจะใช้งบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท

นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ โดยจะให้ความสำคัญกับการลงทุนในรูปแบบร่วมทุน (JV) มากกว่ารูปแบบการเข้าควบรวม หรือซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งปัจจุบันมีการศึกษาในหลายโครงการ ทั้งในกลุ่มธุรกิจไบโอเทค กลุ่มแพ็กเกจจิ้ง และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม

ส่วนผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แบ่งเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1. ผลกระทบต่อความต้องการภายในประเทศ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ พบว่าความต้องการใช้สินค้าในแต่ละประเภทลดลง แต่เชื่อว่าหลังจากที่ภาครัฐคลายมาตรการล็อกดาวน์สถานการณ์ต่าง ๆ น่าจะดีขึ้น รวมถึงความต้องการใช้ด้วย,2. การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ มีความรุนแรงที่สุดตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มา กระทบต่อประเทศในทวีปเอเชียรุนแรงกว่าที่ผ่านมา ส่งผลให้หลาย ๆ ประเทศมีการล็อกดาวน์ กระทบต่อการส่งออกของบริษัท และ 3. ราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายในกิจกรรมการขนส่ง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่คาดว่าในช่วงปลายปี 2564 สถานการณ์ต่าง ๆ จะมีทิศทางการฟื้นตัวดีขึ้นได้

Back to top button