MEGA บวก 3% ลุ้นกำไร 9 เดือนโตเด่น 30% แตะ 1.26 พันลบ.
MEGA บวก 3% ลุ้นกำไร 9 เดือนโตเด่น 30% แตะ 1.26 พันลบ. แนะซื้อเป้า 56 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (19 ต.ค.64) ราคาหุ้นบริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ณ เวลา 10.37 น. อยู่ที่ระดับ 45.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 3.41% โดยทำจุดสูงสุดที่ 45.50 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 43.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 87.10 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำหุ้น MEGA โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 56 บาท คาดกำไรปกติช่วงไตรมาส 3/64 ที่ระดับ 421.9 ล้านบาท ลดลง 10.2% จากไตรมาสก่อน ชะลอจากไตรมาส 2/64 ที่ทำกำไรปกติได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 469.9 ล้านบาท (แต่กำไรสุทธิลดลง 16.4% จากไตรมาสก่อน) แม้ว่ากำไรจะชะลอไปบ้างหลังจากที่ลูกค้าใช้จ่ายไปเป็นจำนวนมากในไตรมาส 2/64 แต่ระดับกำไรกว่า 400 ล้านบาท ถือเป็นกำไรต่อไตรมาสที่สูงสำหรับ MEGA และยังเติบโต 23.1% จากปีก่อน เป็นการเติบโตติดต่อกันทุกไตรมาสตั้งแต่ไตรมาส 1/63
โดยประมาณการดังกล่าวอยู่บนสมมติฐานรายได้ลดลง 2.7% จากไตรมาสก่อน, 3.7% จากปีก่อน จากการเติบโตของธุรกิจแบรนด์ Mega We care (มีมาร์จิ้นสูงกว่า Maxxcare) ในทุกภูมิภาคโดยเฉพาะตลาดเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัท อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะรักษาให้อยู่ในระดับสูงกว่า 40% ได้ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน
ทั้งนี้ ในส่วนของค่าเงินจ๊าดของเมียนมาที่อ่อนค่าอย่างรวดเร็ว 18% ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา จากผลของ COVID-19 และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมากจากราคาอาหารและน้ำมันที่แพงขึ้น เชื่อว่าส่งผลกระทบจำกัดต่อ MEGA เนื่องจากยาเป็นสิ่งจำเป็นและฐานลูกค้าของบริษัทเป็นกลุ่ม B+ อันที่จริงค่าเงินจ๊าดเริ่มอ่อนค่าตั้งแต่ต้นปี 2564 แต่บริษัทก็สามารถทำให้กำไรเติบโตและทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ในไตรมาส 2/64 และในอดีตช่วงไตรมาส 2/62 ค่าเงินจ๊าดเคยอ่อนค่าถึง 22% จากไตรมาสก่อน แต่กำไรในไตรมาสดังกล่าวก็ สามารถเติบโตได้+11.9% จากไตรมาสก่อน
อย่างไรก็ตาม หากประมาณการเป็นไปตามคาดกำไรงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ จะอยู่ที่ 1,262.4 ล้านบาท เติบโต 30.8% จากปีก่อน และคิดเป็น 72.8% ของประมาณการทั้งปี ส่วนแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 4/64 น่าจะเป็นจุดสูงสุดของปีเพราะเป็น High season ราคาหุ้นปัจจุบันมี PE ปี 2564 ที่ 22.0 เท่าและ EV/EBITDA เพียง 15.9 เท่า คงราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 56 บาท และยังคงแนะนำซื้อ