RBF บวกแรง 6% มั่นใจรายได้ปีนี้เข้าเป้า 12% รับออเดอร์สินค้าพุ่ง แนะซื้อเป้า 29 บ.

RBF บวกแรง 6% มั่นใจรายได้ปีนี้เข้าเป้า 12% รับออเดอร์สินค้าพุ่ง ส่วนปี 65 กำไรโตแรง รายได้ธุรกิจกัญชง หนุนการเติบโตระยะยาว แนะซื้อเป้า 29 บ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(20 ต.ค.64) ราคาหุ้น บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF ล่าสุด ณ เวลา 15:21 น. อยู่ที่ 19.90 บาท บวก 1.10 บาท หรือ 5.85% สูงสุดที่ 20.20 บาท ต่ำสุดที่ 18.80 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 327.49 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้ ดร.สมชาย รัตนภูมิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย พญ.จัณจิดา รัตนภูมิภิญโญ กรรมการบริษัท และนายสุรนาถ กิตติรัตนเดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน RBF มองแนวโน้มยอดขายในครึ่งปีหลัง 2564 มีทิศทางสูงขึ้นกว่าในครึ่งปีแรก จากยอดออเดอร์ที่สั่งซื้อส่วนประกอบอาหารและเครื่องดื่มของกลุ่มลูกค้า

ขณะที่การลงทุนในตลาดในอาเซียน RBF ยังคงเน้นการขยายตลาดในประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม โดยลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในเวียดนามซึ่งเป็นผู้ผลิตเพื่อการส่งออก ส่วนที่อินโดนิเซียโรงงานในขณะนี้ สามารถเดินเครื่องการผลิตได้เต็มกำลังแล้วและบริษัทฯ เตรียมก่อสร้างโรงงานเฟส 2 ขึ้น ในปี 2565

สำหรับผลิตภัณฑ์กัญชง หลังบริษัทฯได้รับใบอนุญาตโรงสกัดสาร CBD-THC รายแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงใบอนุญาตผลิต (ปลูก) ยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง และใบอนุญาตสกัดน้ำมันจากเมล็ดกัญชง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 บริษัทฯ ได้เริ่มเซ็นสัญญารับคำสั่งซื้อกับผู้ผลิตรายใหญ่แล้วและยังมีลูกค้ารายสำคัญอื่นๆที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเซ็นสัญญากับบริษัทฯต่อเนื่องในทุกประเภทสินค้า ทั้งอาหาร, เครื่องดื่ม, สมุนไพร, อาหารเสริม ฯลฯ

ส่วนกรณีที่คณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. อนุญาตให้ใช้ CBD ได้สูงสุด 75 mg/k ถือว่าเป็นปริมาณที่เหมาะและเพียงพอที่จะทำให้เกิดการผ่อนคลาย ทั้งนี้ RBF วางเป้าหมายใน 3 ปีข้างหน้า เมื่อต้นทุนวัตถุดิบ (ราคาต้นกัญชง) ลดลง จะส่งออกผลิตภัณฑ์สารสกัดกัญชงออกสู่ตลาดต่างประเทศ

สำหรับการปลดล็อกพืชกระท่อม ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ประชาชนสามารถมีไว้ครอบครองและซื้อ-ขายได้นั้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล หากตลาดมีความต้องการ บริษัทฯ ก็มีความพร้อมที่จะเดินหน้าธุรกิจดังกล่าวต่อไป เนื่องจากมีประสบการณ์ในฐานะผู้ผลิตสารปรุงแต่งมาก่อนและมีโรงสกัดที่พร้อม

อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ บริษัทฯ ยังมั่นใจว่ารายได้ในปี 2564 จะยังคงเติบโตตามเป้า 10-12% จากยอดออเดอร์สั่งซื้อส่วนประกอบอาหารและเครื่องดื่ม, รายได้จากธุรกิจธุรกิจกัญชง ที่ทยอยรับรู้รายได้ช่วงปลายไตรมาส 4/2564 หรือในต้นปี 2565

บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น RBF ราคาเป้าหมาย 29 บาท/หุ้น โดยรายได้และกำไรจากกัญชงที่จะเข้ามาในช่วงปี 2565 จะเข้ามาสร้างการเติบโตโดดเด่นอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการเริ่มปลูก และคาดว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในเดือนธ.ค.2564 นี้ ซึ่งปัจจัยที่ทุกคนจับตามองคือหากมี Yield CBD มากกว่า 3% และมีราคาขายสูงกว่า 200,000 บาท/กิโลกรัม ก็จะเพิ่ม Upside มากขึ้นอีก โดยประมาณการว่า Yield ที่เพิ่มขึ้นทุก 1% จะทำให้กำไรของ RBF เพิ่มขึ้นประมาณ 288 ล้านบาท และการที่ RBF ทยอยประกาศดีลกับลูกค้าเรื่อย ๆ ทำให้มั่นใจได้ว่าสมมติฐาน Demand สารสกัด CBD ในปี 65 ที่ 6,000 กิโลกรัม มีความเป็นไปได้สูง

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังจะดีขึ้นจากต่อเนื่องจากราคาวัตถุดิบในธุรกิจแป้งชุบทอด (Food Coating) ที่จะปรับตัวลดลง และความต้องการบริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม หรือญี่ปุ่นก็เริ่มฟื้นคืนกลับมาจากภาวะโควิด-19 ที่คลี่คลาย

นอกจากนี้ผลประกอบการตั้งแต่ไตรมาส 3/2564 เป็นต้นไปจะไม่ถูกกดดันจากธุรกิจโรงแรมอย่างในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากได้ดำเนินการขายเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งจะทำให้กำไรบวกกลับขึ้นมาราว 10-15 ล้านบาท/ไตรมาส

ส่วนการที่บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เข้าซื้อหุ้นจำนวน 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 10% ของหุ้นทั้งหมด/สิทธิออกเสียงใน RBF มูลค่าการลงทุนราว 3,000 ล้านบาท จากนายสมชาย รัตนภูมิภิญโญ และ นางเพ็ชรา รัตนภูมิภิญโญ จะทำให้เกิดอัพไซด์ของรายได้ RBF ในปีหน้าอย่างแน่นอน เพราะ RBF จะได้ประโยชน์จากช่องทางการจำหน่ายของ TU ในตลาดสหรัฐฯและยุโรปซึ่งเป็นตลาดหลักรวมกันแล้วราว 70% ของรายได้ TU ประกอบกับในตลาดสหรัฐฯและยุโรป ยังเป็นตลาดที่มีมูลค่าการเติบโตของสินค้ากัญชงและสินค้า Plant based ค่อนข้างสูงอีกด้วย

ดังนั้นจึงคาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ทั้งสองบริษัทจะเข้ามาร่วมมือในการทำผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพราะทาง TU เองก็มีการประกาศแผนธุรกิจสินค้า Plant based เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ส่วน RBF เองก็พัฒนาสินค้า Plant Based ได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และจุดเด่นที่สำคัญคือ RBF ได้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่สามารถเลียนแต่งกลิ่นสีและรสชาติอาหาร Plant Based ให้เหมือนรับประทานเนื้อสัตว์เกือบ 100% สอดคล้องกับแผนธุรกิจของ TU

นอกจากนี้ประเมินว่าทาง RBF ก็จะมีอัพไซด์จากการเติบโตแบบ Organic Growth ด้วย เพราะจะได้รับออเดอร์จากทาง TU มากขึ้น เนื่องจากทาง TU เองก็พยายามจะออกสินค้าเกี่ยวกับกัญชง เช่น ทูน่าในน้ำมันกัญชง จึงมองว่าหลังจากนี้ไปน่าจะได้เห็น RBF เป็น Supplier ให้กับทาง TU ด้วยเช่นกัน

ส่วน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 26.50 บาท/หุ้น ยังคงมุมมองบวกกับแนวโน้มการเติบโตของ RBF และคาดว่ากำไรจะโตถึง 52% CAGR ในช่วงปี 2565-2566 โดยคาดว่ากำไรปกติในปี 2564 จะอยู่ที่ 519 ล้านบาท ลดลง 3% เมื่อเทียบจากปีก่อน และปี 2565 ที่ 1.03 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 97.5% เมื่อเทียบจากปีก่อน และปี 2566 ที่ 1.21 พันล้านบาท เพิ่มมขึ้น 17.6% เมื่อเทียบจากปีก่อน ทั้งนี้กำไรที่แข็งแกร่งในปี 2565 จะมาจากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นและธุรกิจกัญชงที่จะเป็นปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาวของ RBF

โดยสารสกัดจากกัญชงสามารถนำไปใช้ได้หลายผลิตภัณฑ์นอกเหนือจากอาหารและเครื่องดื่ม ยกตัวอย่างเช่น น้ำมันเมล็ดกัญชงสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง เพื่อให้สัตว์รู้สึกสงบและผ่อนคลาย และมีงานศึกษาบางชิ้นที่ระบุว่าการผสมน้ำมันเมล็ดกัญชงในอาหารปศุสัตว์สามารถเพิ่มผลิตภาพและลดต้นทุนการผลิตลงได้ ซึ่งถ้าหากลดต้นทุนลง อัตรากำไรขั้นต้นก็จะเพิ่มสูงขึ้น ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการแข่งขัน ทำให้ในอนาคตจะสามารถส่งออกสารสกัดกัญชงไปยังต่างประเทศได้อีกด้วย

ส่วนจุดแข็งของ RBF ที่ทำให้เป็นผู้นำในตลาดสารสกัด CBD ได้ เพราะเดิมทำธุรกิจสารปรุงแต่งอาหารและเครื่องดื่มแบบ One-Stop Service อยู่แล้ว ทำให้บริษัทสามารถเสนอ Solution แบบครบวงจรให้กับลูกค้าได้ อย่างเช่นการปรับสารสกัด CBD ให้อยู่ในรูปแบบ Solution พร้อมใช้งานสำหรับการผลิตเครื่องดื่มในปริมาณมาก

นอกจากนี้ธุรกิจหลักอย่างแป้งชุบทอด (Food Coating) ก็มีการขยายฐานการผลิตในประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนาม จะช่วยเปิดตลาดสารปรุงแต่งรสและสีผสมอาหารให้กับบริษัท โดยมองว่าตลาดต่างประเทศจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนการเติบโตระยะยาวของ RBF เช่นกัน

 

Back to top button