3 หุ้นอสังหาฯ พุ่งแรง รับมาตรการผ่อนคลาย “LTV” โบรกฯชู ORI- SPALI เด่นสุด แนะนำ “ซื้อ”
3 หุ้นอสังหาฯ ดีดขึ้น รับข่าวธปท.ประกาศผ่อนคลายมาตรการ LTV สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาเป็น 100% ตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค.64 ถึง 31 ธ.ค.65 โบรกฯชู ORI- SPALI เด่นสุด แนะนำ “ซื้อ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (25 ต.ค. 2564) ณ เวลา 11:12 น. ราคาหุ้นบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI อยู่ที่ระดับ 22.80 บาท เพิ่มขึ้น 1.20 บาท หรือ 5.56% โดยทำจุดสูงสุดที่ 23.20 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 21.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 658.66 ล้านบาท
เช่นเดียวกับราคาหุ้น บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN อยู่ที่ระดับ 1.65 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท หรือ 3.12% โดยทำจุดสูงสุดที่ 1.69 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 1.63 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 67.30 ล้านบาท
พร้อมกับราคาหุ้น บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI อยู่ที่ระดับ 11.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 0.87% โดยทำจุดสูงสุดที่ 11.80 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 11.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 107.27 ล้านบาท
ทั้งนี้ด้วยราคาหุ้นของ SPALI, ANAN และ ORI ที่ปรับตัวขึ้นนั้น บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (25 ต.ค.2564) ว่า สะท้อนจาก ธปท.ประกาศผ่อนคลายมาตรการ LTV (Loan to Value) สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาเป็น 100% ตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค.2564 ถึง 31 ธ.ค.2565 จากปัจจุบันที่เพดาน LTV สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย อยู่ที่ระดับ 70 – 90% ซึ่งการผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ (รวมถึงการ Refinance และสินเชื่อ Top-Up)
อย่างไรก็ดีการผ่อนคลายมาตรการ LTV ดังกล่าวเป็นข่าวดีต่อผู้ประกอบการอสังหาฯ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความสามารถในการซื้อให้กับลูกค้าได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการช่วยระบายสต็อกที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จแล้วได้เร็วขึ้น และส่งผลให้ภาพรวมกลุ่มที่อยู่อาศัยมีการฟื้นตัวได้ดีขึ้นในปี 2565 ทั้งนี้จากข้อมูลจาก ธปท.ก่อนเริ่ม LTV ในปี 2561 มูลค่าสัดส่วนที่อยู่อาศัยสัญญาตั้งแต่ที่ 2 เป็นต้นไป รวมถึงที่อยู่อาศัยที่ราคาเกิน 10 ล้านบาท จะอยู่ที่ประมาณ 30% ของมูลค่าตลาดรวม และส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดมากกว่ามากกกว่าแนวราบ (คิดเป็นคอนโดราว 60% และแนวราบราว 40%)
อนึ่งทางฝ่ายวิจัยประเมินว่าจะเป็นบวกต่อ ORI, SPALI, ANAN มากสุด ตามลำดับ โดย ORI และ SPALI มี Backlog รอโอนในครึ่งปีหลัง 2564- 2565 มากสุด รวมถึงยังมี Inventory คอนโด ณ ปัจจุบัน รวมถึงที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 ค่อนข้างมาก ส่วน ANAN แม้ Backlog จะไม่มาก แต่มี Inventory คงเหลือมากสุด ทำให้มีโอกาสที่จะเกิด Upside ต่อกำไรในปี 2565 ได้
ขณะที่ LPN และ PSH ส่วนใหญ่เน้นตลาดล่าง ซึ่งทางฝ่ายวิจัยประเมินว่ายังเป็นกลุ่มที่ ได้รับผลกระทบจากการที่สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ แม้ ธปท.จะมีการผ่อน คลาย LTV แล้วก็ตาม ทำให้จะได้ประโยชน์น้อยกว่า
นอกจากนี้ทางฝ่ายวิจัยได้ปรับน้ำหนักการลงทุนกลุ่ม Property ขึ้นเป็น Neutral จากเดิมที่ Underweight จาก (1) การ ผ่อนคลายมาตรการ LTV ส่งผลบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2565 จะเติบโตได้ดีขึ้น (2) มีโอกาสที่กระทรวงการคลังจะพิจารณาต่ออายุลดภาษีโอนและจดจำนองในปี 2565 ที่ระดับ 0.01% และขยายเพดานอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับสิทธิ์เป็น 5 ล้านบาท จากเดิมกำหนดเฉพาะที่อยู่อาศัยมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท
สำหรับหุ้น Top Pick ที่ทางฝ่ายวิจัยประเมินไว้ ได้แก่ ORI แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13.00 บาท อิงปี 2564 ค่า PER ที่ 10 เท่า จากกำไรปกติปี 2564 ที่เติบโตดี 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรปี 2565 มีโอกาส Upside เพิ่มมากสุด เนื่องจาก Backlog รอโอนสูงถึง 90% จากรายได้รวมแล้ว และยังมี Inventory พร้อมโอนที่สูง รวมทั้งจะะได้ผลบวกจากความคืบหน้าของธุรกิจใหม่ที่เป็น Recurring Income มากขึ้น ได้แก่ Logistic (ร่วมทุนกับ JWD), Healthcare, AMC, Energy (ร่วมทุนกับ GUNKUL) และ Insurance Broker ที่จะเริ่มมีกำไรที่ชัดเจนขึ้นในปี 2565
รวมทั้ง SPALI แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 25.00 บาท อิงปี 2564 ค่า PER ที่ 9 เท่า จากกำไรปกติปี 2564 ที่จะเติบโตโดดเด่นสุดในกลุ่มที่ 38% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรปี 2565 มีโอกาส Upside จาก Backlog ที่สูง 49% จากรายได้รวม และมี Inventory พร้อมโอนจนถึงสิ้นปี 2565 สูงถึง 2.50 หมื่นล้านบาท รวมถึงจะได้ผลบวกจากการรับรู้ รายได้จากโครงการแนวราบเพิ่มขึ้นเช่นกัน