STA ร่วง 6% ราคาขาย “ถุงมือยาง” ปรับลด หลังโควิดดีขึ้น ฉุดกำไร Q3 อ่อนตัว
STA ร่วง 6% ราคาขาย “ถุงมือยาง” ปรับลด หลังโควิดดีขึ้น ฉุดกำไรไตรมาส 3 อ่อนตัว โดย ณ เวลา 11.43 น. อยู่ที่ระดับ 33.50 บาท ลบ 2.00 บาท หรือ 5.63%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (25 ต.ค.2564) ราคาหุ้นบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ณ เวลา 11.43 น. อยู่ที่ระดับ 33.50 บาท ลบ 2.00 บาท หรือ 5.63% โดยทำจุดสูงสุดที่ 35.50 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 33.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 474.31 ล้านบาท
บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า STA คาดกำไรสุทธิ ไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 3,714 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 26% เทียบไตรมาสก่อนหน้าและคาดรายได้รวมอยู่ที่ 30,022 ล้านบาท เติบโต 82%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 1%เทียบไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลมาจากธุรกิจยางธรรมชาติเติบโต เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ฟื้นตัว หลังจากได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในปี 2563 และฟื้นตัวต่อเนื่อง เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น 3% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เทียบไตรมาสก่อนหน้า
ด้านธุรกิจถุงมือยางเติบโต เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง เทียบไตรมาสก่อนหน้า คาดปริมาณขายในช่วง ไตรมาส 3/2564 ที่ 7,300 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้น 3%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 28%เทียบไตรมาสก่อนหน้า
โดยมีการกระจายการส่งออกไปยังท่าเรือต่าง ๆ เพิ่มขึ้น แต่ปริมาณขายยังต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 8,100 ล้านชิ้น ถูกกดดันจากปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์
ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางในรูปเหรียญสหรัฐฯ ปรับตัวลง 30% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้คาดอัตรากำไรขั้นต้น ไตรมาส 3/2564 ที่ 31.1% ลดลงจากไตรมาส 3/2563 และไตรมาส 2/2564 ที่ 34.1% และ 36.7% ตามลำดับ จากราคาขายถุงมือยางที่ปรับตัวลง ด้านอัตราค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อยอดขายคาดอยู่ที่6% เทียบกับไตรมาส 3/2563 และไตรมาส 2/2564 ที่ 6.1% และ 5.8% ตามลำดับ
แนวโน้มธุรกิจยางธรรมชาติฟื้นตัว ขณะที่ธุรกิจถุงมือยางอ่อนตัวจากราคาที่ปรับลงภาพรวมไตรมาส 4/2564 ธุรกิจยางธรรมชาติมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เทียบไตรมาสก่อนหน้า คาดปริมาณขายยางธรรมชาติจะทำจุดสูงสุดในช่วงไตรมาส 4/2564 จากซัพพลายยางในอินโดนีเซียที่ลดลงเป็นปัจจัยหนุนต่อบริษัท รวมถึงราคาขายที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ธุรกิจถุงมือยางมีปัจจัยกดดันจากราคาขายถุงมือยางที่มีแนวโน้มปรับลง เทียบไตรมาสก่อนหน้า ในช่วงไตรมาส 4/2564 แต่คาดว่าจะปรับลงในอัตราที่ลดลง รวมถึงปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ หากปริมาณขายถุงมือยางในช่วง ไตรมาส 3/2564 เป็นไปตามที่คาด ปริมาณขายถุงมือยางในช่วง 9 เดือนปี 2564 จะอยู่ที่ 19,767 ล้านชิ้น ทำให้เป้าปริมาณขายถุงมือยางที่บริษัทตั้งไว้ที่ 30,000 ล้านชิ้นในปี 2564 ค่อนข้างท้าทาย ประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 มี Downside risk ราว15% จากปริมาณขายถุงมือยางที่คาดว่าจะทำได้ต่ำกว่าเป้า
แนวโน้มธุรกิจยางธรรมชาติกลับมาสดใสและฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา ด้านธุรกิจถุงมือยาง แม้ยังมีความเสี่ยงจากราคาขายที่คาดว่าจะปรับลงอีก แต่เชื่อว่าราคาขายถุงมือยางจะยังคงทรงตัวในระดับสูงกว่าก่อนการแพร่ระบาด COVID-19 แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท อิงค่าเฉลี่ย PER ที่ 6 เท่า