TACC วิ่ง 3% โบรกฯแนะซื้อ 9.5 บ. มองผลงาน Q4 ฟื้น รับเปิดเมืองหนุนยอดขายโต
TACC วิ่ง 3% โบรกฯ แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 9.5 บาท มองผลงาน Q4 ฟื้น รับเปิดเมืองหนุนยอดขายจาก 7-11 โต พร้อมคาดหลังจากจับมือกับพันธมิตรธุรกิจใหม่ดันกำไรสุทธิปี 65 โต 249 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายว่า (25 ตุลาคม 64) ราคาหุ้นของบริษัท ทีเอซี คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC โดย ณ เวลา 12:10 น. อยู่ที่ระดับ 8.10 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 3.18% สูงสุดที่ระดับ 8.10 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 7.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 90.46 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันที่ (20 ตุลาคม 64) คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/64 อยู่ที่ 49.5 ล้านบาท (ลดลง -8% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น +6% เมื่อเทียบจากปีก่อน) แม้บริษัทจะถูกกระทบจาก COVID-19 ทางอ้อมจากปัญหา Supply Chain ของลูกค้า รวมถึง Traffic ที่ลดลงจากมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด คาดรายได้รวมชะลอเล็กน้อยลดลง -6.8% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และลดลง -4.9% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยรวมมองว่าสินค้าเครื่องดื่มผงของบริษัท ถูกกระทบน้อยกว่าสินค้าประเภทอื่น ๆ เพราะยังคงเห็นสินค้าของบริษัทในร้าน 7-11
ขณะที่โรงงานที่บ้านบึงของบริษัท รวมถึงโรงงานของ OEM ยังบริหารจัดการได้ดี ไม่มีปัญหาแรงงานติดเชื้อจนต้องหยุดสายการผลิตแต่อย่างใด จึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะยังทรงตัวสูงที่ระดับ 38.3% จาก 38.9% ในไตรมาส 2/64 และดีกว่า 32.2% ในไตรมาส 3/2563 และคาดส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมจะใกล้เคียงไตรมาสก่อนราว -0.8 ล้านบาท จึงคาดกำไรไตรมาส 3/64 จะยังเติบโตเมื่อเทียบจากปีก่อน ส่วนการลดลงเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ถือว่าสอดคล้องกับปัจจัยฤดูกาลอยู่แล้ว
ทั้งนี้ คาดกำไรจะกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 4/64 หลังจากผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์มากขึ้น และการเริ่มเดินทางออกต่างจังหวัด จะช่วยหนุนรายได้ของบริษัทที่อยู่ในปั๊มน้ำมันด้วย คาดเห็น Traffic และรายได้ของร้าน 7-11 ฟื้นตัวอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อรายได้เครื่องดื่มของบริษัทในทิศทางเดียวกัน และคาดหวังการฟื้นตัวของธุรกิจ Character ภายหลังลูกค้าเริ่มเชื่อมั่นและกลับมาทำโปรโมชั่นทางการตลาด
นอกจากนี้ ในแง่ต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ ยังบริหารจัดการได้ดี ทั้งการสั่งซื้อล่วงหน้ายาว 6-12 เดือน และการเพิ่มอำนาจการต่อรองด้วยการซื้อคราวละปริมาณสูงขึ้น (รวมออเดอร์กันทั้งในนามบริษัทเอง และในนาม OEM) ทั้งนี้ด้วยรายได้ที่ถูกกระทบจาก COVID ในไตรมาส 3/64 จึงได้ปรับลดกำไรปี 2564 ลง -7.6% เป็น 206 ล้านบาท ยังเป็นการเติบโต 9.3% เมื่อเทียบจากปีที่แล้ว
โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2565 จะกลับมาโตมากขึ้นราว 15% ซึ่งมาจาก 1.) ธุรกิจเดิมที่จะเติบโตหลัง COVID-19 คลี่คลายและการขยายไปกัมพูชากับ 7-11 2.) สินค้าใหม่ทั้งในกลุ่มเครื่องดื่ม และกลุ่ม Health and Wellness 3.) การขยายลูกค้า Non -7-11 เช่น Lotus’s, Bao Café, ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 4.) การจับมือระหว่างพันธมิตรใหม่ Bon Café ซึ่งอยู่ระหว่างวางแผนความร่วมมือและกลยุทธ์ธุรกิจระหว่างกัน คาดจะได้เห็นการร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมในครึ่งปีแรกของปี 2565
รวมถึง Synergy ที่เกิดขึ้นจาก TACC ที่เชี่ยวชาญในเมนู Non-Coffee และ Bon Café ที่เชี่ยวชาญเมนู Coffee และต้องการขยาย Portfolio Non-Coffee ให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ TACC สามารถตอบโจทย์ให้ได้ และ 5.) ยังอยู่ในระหว่างพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชาร่วมกับ TCI คาดจะได้เห็นอย่างเร็วในครึ่งปีแรกของปี 2565 ดังนั้นจึงประเมินกำไรสุทธิปี 2565 ไว้ 249 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น +20.9% เมื่อเทียบจากปีก่อน) และปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 9.5 บาท (อิง PE เดิม 23 เท่า)