PACO วิ่ง 4% หลังคว้างานผลิตชิ้นส่วนแอร์ มูลค่า 1.20 พันลบ.
PACO บวก 4% หลังคว้างานผลิตชิ้นส่วนแอร์ ให้กับค่ายผลิตรถยนต์ระดับโลกรายใหญ่ เป็นเวลา 4 ปี ตั้งแต่ 2565-2569 มูลค่าประมาณ 800-1,200 ลบ. โดยจะเริ่มการผลิตและรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 1/65
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (27 ต.ค.2564) ราคาหุ้นบริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO ณ เวลา 14:50 น. อยู่ที่ระดับ 3.16 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท หรือ 3.95% โดยทำจุดสูงสุดที่ 3.26 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 3.06 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 113.72 ล้านบาท
สำหรับราคาหุ้น PACO ที่ปรับตัวขึ้นบนกระดานนั้นเนื่องมาจาก นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PACO กล่าวว่า PACO ได้เซ็นสัญญาการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศรถยนต์ จำนวนหลายรุ่น ให้กับผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกรายหนึ่ง โดยมีอายุสัญญารับจ้างผลิตชิ้นส่วนหลัก (OEM : Original Equipment Manufacturer เพื่อนำชิ้นส่วนไปใช้ในการประกอบรถยนต์) เป็นระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ 2565-2569 ซึ่งสัญญานี้มีมูลค่าประมาณ 800 ล้านบาทถึง 1,200 ล้านบาท
โดยบริษัทฯ จะเริ่มการผลิตและรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 1 ปีหน้านี้ ซึ่งธุรกิจการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนหลักให้ผู้ผลิตรถยนต์ (OEM Part Manufacturing) เป็นธุรกิจใหม่ของบริษัทฯ และ สัญญาการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนหลักให้ผู้ผลิตรถยนต์ (OEM) ครั้งนี้ นับเป็นสัญญารับจ้างผลิตชิ้นส่วนหลักมูลค่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทฯ เนื่องจากธุรกิจหลักของบริษัทฯ คือการผลิตและจำหน่ายอะไหล่เครื่องปรับอากาศ (Spare Part) รถยนต์รุ่นต่างๆ เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปทวีปต่างๆทั่วโลก
“การเซ็นสัญญา OEM ครั้งนี้ มีความสำคัญต่อ PACO หลายด้าน คือ 1. PACO ได้ขยายธุรกิจเข้าสู่การเป็นผู้รับจ้างผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ OEM ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อย่างเต็มตัว 2. คำสั่งซื้อประมาณ 800 ล้านบาท -1,200 ล้านบาท จะทำให้ฐานรายได้และผลประกอบการของบริษัทมั่นคงยิ่งขึ้น 3. บริษัทมีโอกาสที่จะได้รับออร์เดอร์ จากค่ายรถยนต์ระดับโลกรายอื่นๆอีกมาก เนื่องจากประเทศไทยเป็น 1 ในศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ของโลก 4. บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ OEM อย่างชัดเจนภายใน 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งปีหน้าจะรับรู้รายได้ได้เต็มปีทันที” นายสมชาย กล่าว
ทั้งนี้ PACO เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่มีผลประกอบการ เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 682 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 77 ล้านบาท ในขณะที่ช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม 397 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากกำไรสุทธิในช่วง 6 เดือนแรกปี 2563 โดย PACO มีอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 2 ปีนี้ PACO มีอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นเป็น 16.7% สูงกว่าอัตรากำไรสุทธิ เฉลี่ยของผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ OEM ที่ประมาณ 5-10% เนื่องจาก PACO เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่เน้นตลาดอะไหล่ทดแทน (Aftermarket Parts) จึงสามารถกำหนดราคาขายสินค้าได้เอง และมีการแข่งขันด้านราคาที่น้อยกว่า
ด้าน นายธเนศ เลิศขจรกิตติ ผู้อำนวยการด้านการตลาด PACO กล่าวว่า ธุรกิจหลักของบริษัทตลอด 30 ปี คือ ผลิตและจำหน่ายอะไหล่แอร์รถยนต์ในตลาด Aftermarket ทั้งในประเทศ และส่งออก ยังมีการเติบโตได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดเมือง เปิดประเทศของไทย และ ประเทศต่างๆในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป ตะวันออกกกลางและเอเชีย ทำให้มีคำสั่งซื้อจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างสูง ขณะนี้บริษัทฯมีคำสั่งซื้อไปจนถึงไตรมาส 1 ปีหน้าแล้ว จึงคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการปีนี้และปีหน้ายังเติบโตได้ดี ตามเป้าหมายของบริษัท
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เปิดตัวสินค้ากลุ่มใหม่เพื่อรองรับเทรนด์ใหม่ของโลก คือ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเริ่มจาก ผลิตภัณฑ์ แบตเตอรี่คูลเลอร์ ซึ่งเป็น 1 ในชิ้นส่วนสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV และ PHEV (Plug-in Hybrid) ซึ่งขณะนี้ PACO ได้ผลิต แบตเตอรี่คูลเลอร์ สำหรับ Tesla ซึ่งเป็น แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก สำหรับรุ่น Tesla Model X และ Tesla 3 ตลอดจน รถยนต์ Plug-in Hybrid แบรนด์ BMW Series 3 และ Series 5 รุ่นปัจจุบัน (G20 และ G30) ซึ่งได้รับความนิยมสูงทั่วโลกโดย PACO เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ทดแทนรายแรกของไทย ที่เริ่มเปิดตลาดแบตเตอรี่คูลเลอร์ ทั้งตลาดส่งออกและตลาดในประเทศ
อีกทั้งบริษัทฯ ได้ขยายกลุ่มสินค้า ประเภทแอร์รถยนต์แบบครบวงจร ตั้งแต่คอมเพรสเซอร์แอร์ น้ำยาแอร์ ท่อน้ำยาแอร์ และ ขยายไปถึงสินค้าหม้อน้ำรถยนต์ และ อะไหล่ช่วงล่างประเภท ยางต่างๆ เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทและเครือข่ายร้าน PACO AUTO HUB ซึ่งได้ขยายไปแล้วกว่า 300 สาขา