AH บวกแรง 5% คงเป้ารายได้ปีนี้โต 20% รับอุตฯยานยนต์ฟื้นตัว-หุ้นต่ำบุ๊ก

AH บวกแรง 5% คงเป้ารายได้ปีนี้โต 20% รับอุตฯยานยนต์ฟื้นตัว-หุ้นต่ำบุ๊ก โดย ณณ เวลา 10:41 น. อยู่ที่ระดับ 22.30 บาท บวก 1.10 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(1 พ.ย.64) ราคาหุ้นบริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH ณ เวลา 10:41 น. อยู่ที่ระดับ 22.30 บาท บวก 1.10 บาท หรือ 5.19% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 101.53 ล้านบาท  ด้านราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีที่ระดับ 23.23  บาท

โดยก่อนหน้านี้(31ส.ค.64) นายเย็บ ซู ชวน ประธานกรรมการบริหาร  AH เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้ารายได้ปีนี้อยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 15-20% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมาจากการฟื้นตัวในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ แม้คาดว่าผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3/2564 อาจอ่อนตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่คาดว่าในช่วงไตรมาส 4/2564 จะกลับมาเติบโตได้ตามเป้า

ทั้งนี้บริษัทยังคงรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไว้ได้ในระดับ 10-12% เทียบกับไตรมาส 2/2564 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 11.6% เนื่องจากบริษัทได้บริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพในระดับสูงต่อเนื่อง ปรับระบบการทำงานภายใน โดยเฉพาะงานปฏิบัติการ (Operation) ด้วยการนำ Robotic Process Automation : RPA เข้ามาปรับใช้

ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนชิป ทำให้การผลิตรถยนต์ของค่ายรถต่าง ๆ ทั่วโลกเกิดความล่าช้านั้น บริษัทคาดว่าในช่วงไตรมาส 4/2564 จะคลี่คลายลง และทำให้การผลิตรถยนต์กลับมาผลิตได้ใกล้เคียงกับช่วงปกติมากขึ้น ส่งผลให้การส่งมอบงานชิ้นส่วนรถยนต์ให้กับลูกค้าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4/2564

นอกจากนี้ยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศปี 2564 ยังมีทิศทางที่เป็นบวก จากการปรับเพิ่มประมาณการยอดผลิตรถยนต์เป็น 1.55-1.6 ล้านคัน โดยมีปัจจัยหนุนจากยอดการผลิตรถยนต์ส่งออกที่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวกลับมาของประเทศขนาดใหญ่ ทำให้การส่งออกรถยนต์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งได้มีการปรับคาดการณ์ยอดผลิตรถยนต์ส่งออกเป็น 800,000-850,000 คัน จากเดิมที่ 750,000 คัน ส่วนยอดผลิตรถยนต์ขายในประเทศยังอยู่เท่าเดิมที่ 750,000 คัน

สำหรับแนวโน้มในปี 2565 คาดว่าเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสเติบโตได้สูงกว่าปี 2564 โดยเฉพาะในส่วนของรายได้ที่จะได้รับอานิสงส์จากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เติบโต ส่งผลให้การผลิตรถยนต์ของบริษัทคาดว่าจะกลับมาเป็นปกติ จากปัญหาการขาดแคลนชิปที่คาดว่าจะจบลงได้ภายในสิ้นปี 2564 นอกจากนี้การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คาดว่ามีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันค่ายรถยนต์จะมีการเปิดตัวรถกระบะใหม่ ทำให้บริษัทเตรียมส่งมอบชิ้นส่วนรถกระบะโมเดลใหม่ให้กับลูกค้าที่จะเปิดตัวรถกระบะในปี 2565 ทำให้มีรายได้เข้ามาหนุนเพิ่มขึ้น และบริษัทจะรับรู้รายได้จากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ MG เข้ามาเต็มปีในปี 2565 ดังนั้นคาดว่าเห็นการเติบโตของรายได้ในปี 2565 ที่ค่อนข้างโดดเด่น

Back to top button