JMT วิ่ง 3% จับตากำไร Q3 นิวไฮ 330 ลบ. โบรกเชียร์ “ซื้อ” เป้า 56 บ.
JMT วิ่ง 3% โบรกฯ ชูเป้า 56 บาท มองกำไรไตรมาส 3/2564 ทำนิวไฮ และดีต่อเนื่องถึงไตรมาส 4/2564 เนื่องจากการติดตามหนี้ทั้งในส่วนที่เป็นบริการติดตามหนี้และลูกหนี้ที่รับซื้อปรับตัวดีขึ้นรับไฮซีซั่นท้ายปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (5 พ.ย. 64) ราคาหุ้นของบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ตเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT โดย ณ เวลา 16:08 น. อยู่ที่ระดับ 49.50 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 3.66% ทำจุดสูงสุดที่ 49.75 บาท และต่ำสุดที่ 46.25 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 762.414 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนิตี้ จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (3 พ.ย. 64) คาดกำไรไตรมาส 3/2564 ที่ 331 ล้านบาท ดีขึ้น15% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และ 17% เมื่อเทียบจากปีก่อน เป็นระดับ New High รายไตรมาสใหม่ โดยมีปัจจัยสำคัญคือ 1) คาดรายได้จากการให้บริการติดตามหนี้ลดลงเล็กน้อยราว 2% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน โดยเป็นผลจากการที่สถาบันการเงินมีนโยบายช่วยเหลือลูกหนี้ทำให้ส่งหนี้มาให้ติดตามน้อยลง 2) คาดรายได้จากลูกหนี้ที่รับซื้อเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน โดยกระแสเงินสดจากการติดตามอาจอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากสถานการณ์การระบาดและปิดเมืองล่าสุด ทำให้ลูกหนี้บางส่วนอาจชะลอการจ่ายหนี้แต่รายได้ที่เติบโตเป็นผลมาจากการรับรู้กำไรที่มากขึ้นหลังมีการตัดต้นทุนหนี้ก้อนใหญ่หมดในไตรมาส 2/2564 และ 3) คาดรายได้จากธุรกิจประกันลดลงราว 15% จากการชะลอการขายประกันหลังในไตรมาส 2/2564 มีการเร่งขายไปแล้วช่วงหนึ่ง (แต่ยังมีการรับรู้รายได้ต่อเนื่องตามเกณฑ์บัญชี) ขณะที่คาดการประกันใหม่ที่ลดลงจะทำให้ค่าใช้จ่ายจากธุรกิจประกันลดลงราว 32% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน โดยหลักเป็นการลดลงของค่า Commission จากการขาย
ทั้งนี้ คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/2564 จะดีขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน หลังผ่านสถานการณ์ระบาดและปิดเมืองในไตรมาส 3/2564 ไปแล้ว ซึ่งคาดว่าจะทำให้กระแสเงินสดจากการติดตามหนี้ทั้งในส่วนที่เป็นบริการติดตามหนี้และลูกหนี้ที่รับซื้อปรับตัวดีขึ้นในด้านของการซื้อหนี้คาดจะเห็นการเร่งตัวในไตรมาส 4/2564 ซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาลที่สถาบันการเงินมักนำหนี้ออกมาขายมากขึ้นในช่วงปลายปี สำหรับแนวโน้มปี 2565 ทางบริษัทจะเพิ่มเป้าการซื้อหนี้เป็นราว 1.5 หมื่นล้านบาท จากปี 2564 ที่ตั้งเป้าไว้ที่ 7 พันล้านบาท ถึง 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้สามารถรับรู้รายได้และกำไรได้เพิ่มขึ้นจากฐานหนี้ใหม่
โดยปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 56 บาท อิงวิธี DCF การเติบโตของกำไรระยะยาวยังโดดเด่น ขณะที่ยังมี Upside ที่น่าสนใจ จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”