SINGER บวก 5% จับตากำไร Q3 โตเด่น 39% ทะลุ 163 ลบ. แนะซื้อเป้า 54 บ.

SINGER บวก 5% จับตากำไร Q3 โตเด่น 39% ทะลุ 163 ลบ. แนะซื้อเป้า 54 บ. ฟากผู้บริหารมั่นใจปี64-65 กำไรนิวไฮหรือพุ่งเฉลี่ยปีละ 50%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (8 พ.ย.2564) ราคาหุ้นบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER  ณ เวลา 15.06 น.อยู่ที่ระดับ 42.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท หรือเพิ่มขึ้น 4.94% โดยทำจุดสูงสุดที่ 43.00 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 40.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อ 520.19 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์(21 ต.ค.64)  ว่า แนะนำ “ซื้อ” SINGER ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 54 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้คาดกำไรไตรมาส 3/2564 ที่ 163 ล้านบาท เติบโต 39% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลง 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา แต่ยังคงเดินหน้าเติบโต แม้เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาจะอ่อนตัว จากฐานสูงในไตรมาส 2/2564 ตาม Seasonality ของสินค้า แต่การขยายพอร์ต C4C ยังทำได้ต่อเนื่อง รายได้ NII เติบโตทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา

โดยในปี 2565 คาดเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากเงินทุน และ Synergy ร่วมจากกลุ่ม BTS โดยรวม SINGER ยังมีความน่าสนใจ ด้วยแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่สูงเฉลี่ย 50% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า

ด้านนายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SINGER เปิดเผยว่า มั่นใจผลประกอบการจะนิวไฮต่อเนื่องทั้งปีนี้ และปี 2565 โดยหลังจากนี้จะเติบโตแบบ Aggressive ขึ้นทุก ๆ ปี ซึ่งคาดการณ์ว่าผลประกอบการจะเติบโตควบคู่ไปกับกลุ่ม บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART โดยในอีก 2-3 ปีข้างหน้า น่าจะมีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่า 50% ต่อปี

“โควิด-19 ระลอกที่ผ่านมา อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทบ้าง ในการเดินทางเข้าไปพบลูกค้า เพราะต้องระมัดระวังมากขึ้น แต่ภาพรวมของผลประกอบการไม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งบริษัทยังสามารถที่จะขยายพอร์ต และยอดขายได้ตามเป้าหมาย”นายกิตติพงศ์ กล่าว

สำหรับการเพิ่มทุนจาก บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS นั้น ขณะนี้ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติทั้งหมดแล้วคือ อนุมัติการเพิ่มทุน จำนวนหุ้นที่เพิ่มทุน รวมถึงการจัดสรรครบแล้ว ดังนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือ จะต้องนำเข้าวาระในมุมของยูซิตี้ให้เรียบร้อย และจบขั้นตอนนี้เช่นกัน ขณะที่ JMART ก็ต้องจบขั้นตอน เพราะจะมีเงินส่วนหนึ่งที่จะเข้าไปทาง JMART แล้วมาเพิ่มทุนต่อในส่วนที่เป็น RO ของ SINGER อย่างไรก็ตาม กระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จในช่วงกลางเดือน ธ.ค. ทั้งการจองซื้อหุ้น RO รวมถึงกระบวนการในการจัดสรรหุ้น PP

ในส่วนของเงินเพิ่มทุนทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 11,000 ล้านบาท (ถ้าทุกคนใช้สิทธิเต็มรูปแบบ) จะแยกออกเป็น 3,300 ล้านบาท จะนำไปใช้ในการคืนหนี้หุ้นกู้ของปี 2565 ประมาณ 1,500 ล้านบาท และ 2566 ประมาณ 1,800 ล้านบาท

ส่วนที่เหลือ 7,700 ล้านบาท จะใช้ในการปล่อยสินเชื่อทั้งหมด โดย SINGER จะส่งผ่านไปยังบริษัทลูก คือ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (SGC) เพื่อนำไปปล่อยสินเชื่อรายใหม่ ซึ่งประมาณ 80% เป็นสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ (C4C) และอีก 20% เป็นสินเชื่อเช่าซื้อ (Hire Purchase) เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าเชิงพาณิชย์ต่าง ๆ

ขณะที่ในเรื่องของการแยกธุรกิจ (Spin-off) ของ SGC ยังคงเป็นไปตามแผนงาน โดยเอสจี แคปปิตอล ขณะนี้ได้แปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด แล้ว และจะเข้าสู่กระบวนการยื่นไฟลิ่งในปลายไตรมาส 4/2564 ขณะเดียวกันได้วางไทม์ไลน์ของวัน IPO ไว้ประมาณกลางปี 2565

โดยการเพิ่มทุนที่ได้จะช่วยเสริมสภาพคล่องในการนำเงินไปลงทุนเพื่อขยายพอร์ตลูกหนี้ ซึ่งจะได้กลับมาเป็นผลตอบแทน จากเดิมที่เคยมีข้อจำกัดว่าต้องออกหุ้นกู้ ก็จะทำให้บริษัทไม่มีภาระในการออกหุ้นกู้ไปอีก 2 ปีข้างหน้า ประกอบกับการที่มีเอสจี แคปปิตอล และกำลังจะเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ช่วงปีหน้า จะทำให้ได้เม็ดเงินอีกก้อนหนี่งเข้ามา ซึ่งเม็ดเงินก้อนนี้จะนำมาใช้ในการปล่อยสินเชื่อเช่นเดียวกัน

นายกิตติพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า บริษัทไม่ต้องพึ่งพาการออกหุ้นกู้เลย จะทำให้ค่าใช้จ่ายทางการเงิน หรือต้นทุนถูกลง เพราะโดยปกติหากปล่อยสินเชื่อ ต้องนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปปล่อย ซึ่งจะมีต้นทุน แต่เงินที่ได้จากการระดมทุน รวมถึงเพิ่มทุน เป็นเงินที่ในทางเทคนิค คือ ไม่มีต้นทุน เพราะฉะนั้นบริษัทจะได้รับผลตอบแทนเต็ม ๆ จากเงิน 11,000 ล้านบาท และยังมีเงินที่ได้จากการระดมทุนอีก จึงทำให้อัตรากำไรของบริษัทสูงขึ้น

ส่วนอัตราส่วนของหนี้สินต่อทุนของบริษัทลดลง เพราะฐานทุนใหญ่ขึ้น จากเดิมประมาณ 500 ล้านบาท แต่เมื่อจบทุกกระบวนการจะกลายเป็น 830 ล้านบาท จึงไม่ต้องพึ่งพาเม็ดเงินจากข้างนอก ทั้งหมดนี้จะส่งผลดีต่อเรตติ้งของบริษัท รวมถึงส่งผลดีต่อกำไรของบริษัท ให้สามารถจ่ายปันผล และดิวิเดนด์ยีลด์ได้มากขึ้น

ขณะเดียวกัน อัตราส่วนของหนี้สินต่อทุนของเอสจี แคปปิตอล ก็จะส่งผลดีต่อเอสจี แคปปิตอล ในอีก 2 ปีข้างหน้า เมื่อจะออกหุ้นกู้ก็สามารถใช้วงเงินการออกหุ้นกู้ในนามของตัวเอง ไม่ต้องกู้ในนามของบริษัทแม่ เอสจี แคปปิตอล ก็จะมีศักยภาพในการเติมทุนเข้ามาอีก ทั้งนี้ เชื่อว่าผลประกอบการของบริษัท บวกกับสภาพคล่องที่มีจะทำให้ เอสจี แคปปิตอล มีเรตติ้งที่ดีขึ้น ก็จะทำให้กู้ได้ในราคาที่ต่ำลง ต้นทุนที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้น การเติมทุนทุกรูปแบบที่จะเกิดขึ้นกับ SINGER รวมไปถึง เอสจี แคปปิตอล ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จะทำให้บริษัทปลดล็อกข้อจำกัดเดิมของกลุ่ม SINGER ในเรื่องของการหาเงินทุนมาใช้ในการขยายกิจการ จึงทำให้บริษัทมีความคล่องตัวที่สูงขึ้น และผลกำไรจะสูงขึ้นตามมาด้วย

“อยากฝากให้นักลงทุนช่วยเป็นกำลังใจให้ SINGER เพราะในมุมของฝ่ายจัดการ เราเดินหน้าเต็มที่ ตั้งใจที่จะสร้างผลตอบแทนในมุมของผลประกอบการบริษัทให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นการได้ทุนมาปลดล็อกข้อจำกัดที่เคยมี จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายตัวได้ ไม่ต้องเร็วขึ้น แต่มี

Back to top button