S พุ่งกว่า 7% รับข่าวเข้าซื้อหุ้น JHH ในอังกฤษ-คาดสร้างกำไรระยะยาวให้ธุรกิจ
S พุ่งกว่า 7% รับข่าวเข้าซื้อหุ้น JHH ในอังกฤษ-คาดสร้างกำไรระยะยาวให้ธุรกิจ โดย ณ เวลา 10.32 น.อยู่ที่ 6.10 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 7.02% มูลค่าการซื้อขาย 82.28 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S ณ เวลา 10.32 น.อยู่ที่ 6.10 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 7.02% มูลค่าการซื้อขาย 82.28 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 5.75 บาท ต่ำสุดที่ 5.75 บาท สูงสุดที่ 6.10 บาท ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยโดยรวมบวก 1.02%
ทั้งนี้ ราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้น หลังบริษัทแจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 30 ก.ย. อนุมัติให้ S Hotels and Resorts (UK) Limited (S UK) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าร่วมลงทุนใน JHH ผ่านบริษัทย่อยของ FS JV Co., Ltd. (FS JV) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งใหม่ระหว่าง S UK และ FICO Holding (UK) Limited (FICO UK) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มฟิโก้
โดยระบุเมื่อวันที่ 10 ต.ค.58 FS Senior Co Limited (FS SENIOR) ซึ่งถือหุ้นทางอ้อม 100% โดย FS JV ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น กับ Patron Jupiter Holdings S.A.R.L และ West Register Hotels (Holdings) Limited เพื่อเข้าลงทุนใน JHH ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งในอังกฤษ เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการด้านโรงแรมและถือครองกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าโรงแรมในสหราชอาณาจักรจำนวน 26 แห่ง ภายใต้แบรนด์เมอร์เคียว (Mercure) โดยเข้าซื้อหุ้น JHH ทั้ง 100% มูลค่ารวม 72.56 ล้านปอนด์ หรือราว 4.03 พันล้านบาท
ทั้งนี้ โรงแรมทั้ง 26 แห่งที่ FS JV จะเข้าลงทุนมีจำนวนห้องพักรวมทั้งสิ้น 2,883 ห้อง โดยโรงแรมจำนวน 20 แห่ง มีลักษณะการถือครองเป็นกรรมสิทธิ์ และโรงแรมอีก 6 มีลักษณะการถือครองเป็นสิทธิการเช่าระยะยาว ระยะเวลาคงเหลือประมาณ 18 ถึง 94 ปี โดยในปี 57 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 66% และมีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย 62 ปอนด์/คืน
สำหรับผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับการจากการลงทุนครั้งนี้นั้น S เห็นว่ากิจการโรงแรมที่จะเข้าลงทุนตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ และมีอัตราการเติบโตที่ดี เนื่องจากอุตสาหกรรมโรงแรมในสหราชอาณาจักรกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังเป็นการต่อยอดธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทด้วย ตลอดจนเป็นการกระจายความเสี่ยงไปสู่การลงทุนในธุรกิจโรงแรมต่างประเทศ และยังจะช่วยสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอในระยะยาว (Recurring income) โดยบริษัทจะรับรู้กำไรตามสัดส่วนการถือหุ้น 50% ซึ่งเป็นการเสริมกำไรให้แข็งแกร่งขึ้น