AQ ทำสัญญาจัดการทรัพย์สิน-แบ่งผลประโยชน์ “โกลเด้นฯ-โปรเกรสฯ” แก้ปัญหาคดี KTB

บอร์ด AQ อนุมัติการทำสัญญาจัดการทรัพย์สิน-แบ่งผลประโยชน์ระหว่าง “โกลเด้น เทคโนโลยี่ อินดัสเทรียล” - “โปรเกรส พรอพเพอร์ตี้ แมเนจเมนท์” เพื่อแก้ปัญหาคดีที่ศาลฯ ให้ชดใช้เงิน KTB หมื่นลบ. เผยกำไรที่ได้จากการขายทรัพย์สินหลังหักค่าใช้จ่าย-ชำระหนี้ KTB แล้วจะแบ่งกันในสัดส่วนบริษัทโกลเด้นฯ 70%-AQ 30%


บริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ AQ ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันศุกร์ อนุมัติการเข้าทำรายการทำสัญญาจัดการทรัพย์สินและแบ่งผลประโยชน์ ระหว่างบริษัท กับ บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี่ อินดัสเทรียล จำกัด และบริษัท โปรเกรส พรอพเพอร์ตี้ แมเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โกลเด้นฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับคดีของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองได้มีคำสั่งให้ทางบริษัทร่วมกันกับจำเลยอื่นๆ คืนเงินจำนวน 10,004,467,480บาท แก่ธนาคารผู้เสียหาย คือ KTB  และบริษัท โกลเด้นฯ ต้องรับผิดจำนวน 8,368.73 ล้านบาท ขณะที่บริษัท โกลเด้นฯ และบริษัทย่อยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินหลักประกันคือที่ดินจำนวน 216 โฉนด เนื้อที่รวมประมาณ 4,323-1-55.90 ไร่ ตั้งอยู่ตามแนวถนนบางนา-ตราด (ทางหลวงหมายเลข 34) ถนนกรุงเทพ-ชลบุรีสายใหม่ (มอเตอร์เวย์) และวัดเกาะแก้ว (ที่ดิน)

ดังนั้น หากบริษัทไม่ได้ดำเนินการใดๆ และปล่อยให้ธนาคารขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันนี้แล้ว ในกรณีที่ได้เงินน้อยกว่าภาระที่บริษัทต้องรับผิดชอบเท่าใด บริษัทก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกเรียกให้ชดใช้ในส่วนต่างนั้นจนครบจำนวนที่บริษัทต้องชำระแก่ธนาคาร

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่า แหล่งที่มาที่สามารถชำระหนี้ได้ที่ไม่เกิดความเสียหายใดๆ กับบริษัทก็คือที่ดินที่เป็นหลักประกันของบริษัทโกลเด้นฯและที่ดินหลักประกันมีราคาประเมินสูงกว่าภาระหนี้ของบริษัท ดังนั้น หากมีการจัดการที่ดีย่อมมีโอกาสที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินและสามารถขายที่ดินได้เงินมากเพียงพอที่จะชำระหนี้ของบริษัท ได้ และอาจจะมีเหลือกำไรให้กับบริษัทและบริษัทโกล้เด้นฯ ได้อีกด้วย

ดังนั้น บริษัทซึ่งมีความชำนาญในการจัดการอสังหาริมทรัพย์มากกว่า และเป็นผู้ที่จะได้รับความเสียหายในการนี้โดยตรง เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและยังมีโอกาสได้รับกำไรจากการบริหารจัดการอีกด้วย ทางบริษัทจึงจำเป็นต้องสอดเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการในการขายทรัพย์สินหลักประกันนี้โดยหากขายทรัพย์สินได้กำไร ก็จะมีการแบ่งกำไรหรือผลประโยชน์กันกับบริษัท โกล้เด้นฯ โดยมีข้อตกลงว่าหากหลักประกันสามารถชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ทางบริษัท โกลเด้นฯก็จะไม่มาไล่เบี้ยกับบริษัท

สำหรับหนี้ส่วนต่างระหว่างที่บริษัทโกลเด้นฯ ต้องรับผิดชอบคือ 8,368.73 ล้านบาท กับหนี้ส่วนที่บริษัทต้องรับผิดชอบคือ 10,004.46 ล้านบาท ทำให้บริษัทไม่มีความเสียหายที่เกิดจากคำพิพากษาและจะไม่กระทบต่อทรัพย์สินอื่นของบริษัทแต่อย่างใด

ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น บริษัท กับบริษัท โกลเด้นฯ และบริษัทโปรเกรสฯ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทโกลเด้นฯ จึงตกลงเข้าทำสัญญาจัดการทรัพย์สินและแบ่งผลประโยชน์ โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ บริษัทเป็นผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการประนอมหนี้ รวมถึงการบริหารจัดการในการขายที่ดินแต่เพียงผู้เดียว แบบไม่ยกเลิกเพิกถอนในระยะเวลา 3 ปีนับจากวันลงนามในสัญญา

โดยบริษัทเป็นผู้สำรองจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อให้สามารถขายที่ดินได้ เช่น ค่าถอนการอายัดที่ดิน การชำระหนี้สรรพากรแทนบริษัทเพื่อมิให้ถูกอายัดที่ดิน การชำระหนี้บางส่วนของบริษัทย่อย ค่าใช้จ่ายในการประเมินราคาที่ดิน เป็นต้น โดยไม่คิดค่าตอบแทน เว้นแต่กรณีที่ผู้ดำเนินการต้องกู้ยืมเงินเพื่อนำมาใช้ในการนี้บริษัทตกลงที่จะคืนเท่ากับต้นทุนทางการเงินที่ผู้ดำเนินการต้องเสียไป

ส่วนกำไรที่ได้จากการขายทรัพย์สินหลังหักค่าใช้จ่ายและชำระหนี้แก่ธนาคารแล้วจะแบ่งกันในสัดส่วนบริษัทโกลเด้นฯ 70% และบริษัท 30% เมื่อบริษัท และบริษัทโกลเด้นฯหลุดพ้นจากความรับผิดกับธนาคารแล้ว ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไม่เรียกร้องหรือใช้สิทธิไล่เบี้ยต่อกันอีกต่อไป

ทั้งนี้ เพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญาและความคล่องตัวในการดำเนินการ บริษัทโปรเกรสฯในฐานะผู้ถือหุ้นตกลงที่จะโอนหุ้นและเปลี่ยนแปลงกรรมการของบริษัทโกลเด้นฯ ให้แก่บริษัท แต่เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงบริษัทจะต้องโอนหุ้นและคืนอำนาจกรรมการให้แก่บริษัทโปรเกรสฯตามเดิม ขณะที่บริษัทต้องจัดหาสินเชื่อให้แก่กรรมการคนหนึ่งของบริษัท โกลเด้นฯวงเงิน 30 ล้านบาท โดยมีที่ดินเป็นหลักประกันซึ่งมีราคาประเมินไม่น้อยกว่าวงเงินกู้ที่ได้รับ

สำหรับประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากการทำสัญญาครั้งนี้ คือ เมื่อบริษัทเป็นผู้จัดการที่ดินหลักประกันแล้วย่อมสะดวกในการเจรจาเงื่อนไขการชำระหนี้แก่ธนาคาร ,เป็นแนวทางในการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับทรัพย์สินอื่นๆของบริษัท กรณีที่ที่ดินหลักประกันฯ ถูกขายโดยไม่ได้รับการจัดการที่ดีทำให้ได้รับเงินจากการขายต่ำกว่าภาระหนี้ และยังมีโอกาสได้รับส่วนแบ่งผลกำไร

Back to top button