CHO ชวดเซ็นเมล์ NGV ประชาชนรอใช้ต่อไป
CHO รับเซ็นรถเมล์ NGV ไม่ทันภายในปีนี้ เผยอยู่ระหว่างรอที่ประชุม ขสมก.ซึ่งจะประชุมวันที่ 21 ต.ค. นี้ ขณะที่คาดว่ากำไรปีนี้ต่ำกว่าปีก่อน หลังมีค่าใช้จ่ายในการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับงานโครงการรถเมล์ แต่ไม่มีรายได้เข้ามาในปีนี้
นายนิติธร ดีอำไพ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท ช.ทวี ดอลลาเซียน จำกัด (มหาชน) หรือ CHO เปิดเผยว่า บริษัทยอมรับว่าการเซ็นสัญญาโครงการจัดซื้อรถเมล์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ล็อตแรกจำนวน 489 คันคงจะไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในปีนี้ เนื่องจากปัจจุบันอยู่ระหว่างรอที่ประชุมคณะกรรมการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่จะประชุมในวันที่ 21 ต.ค. นี้ ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร
“เราได้ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้อะไรตอบกลับมา แต่ตอนนี้เราก็ยังมีความหวัง 70% ที่จะได้โครงการดังกล่าว หากที่ประชุมบอร์ด ขสมก.มีมติออกมาว่ารับ เราก็ทำได้เลย แต่ถ้าหากมีมติเป็นอย่างอื่นอีก เราก็ต้องรอ ซึ่งโดยปกติแล้วหากเราประมูลได้ เราก็จะได้งานอยู่แล้ว แต่ถ้าหากเราไม่ได้เราก็เตรียมแผนสำรองไว้ โดยเราก็คงมีการฟ้อง ขสมก. เพื่อเรียกค่าเสียหายที่เราได้มีการลงทุนไว้รองรับล่วงหน้า แต่ขั้นตอนนี้คงเป็นตัวสุดท้ายที่เราจะมองถึง” นายนิติธร กล่าว
ทั้งนี้หลังจากที่บริษัทเซ็นสัญญางานเดินรถโดยสาร NGV ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ไปแล้ว บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อเข้ารับงานเดินรถประจำทาง NGV ระหว่างสถานีขนส่ง (บขส.) จังหวัดขอนแก่น เพื่อเข้าตัวเมือง โดยคาดว่าจะได้ความชัดเจนในช่วงต้นปี 59 นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจารับเดินรถรับ-ส่งในจังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก และสถานที่ราชการอีกหลายแห่งเพิ่มเติมด้วย
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้นั้น แนวโน้มรายได้คงใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 1.52 พันล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 10% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวส่งผลให้กำลังซื้อปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในส่วนของผู้ประกอบการค้าปลีกในประเทศที่ชะลอการลงทุนออกไป นอกจากนี้ต่างประเทศก็มีกำลังซื้อลดลงเช่นกัน โดยเฉพาะลูกค้าในแถบตะวันออกกลางที่มีรายได้หลักมาจากค้าน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันทรุดตัวลงมาก
ขณะที่กำไรสุทธิปีนี้มีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าปีก่อนที่ทำได้ 97.31 ล้านบาท เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับงานโครงการรถเมล์ แต่อาจจะไม่มีรายได้เข้ามาในปีนี้หรือหากมีเข้ามาก็ไม่มาก
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมั่นใจว่าช่วงครึ่งปีหลังผลประกอบการจะออกมาดีกว่าครึ่งปีแรก ทั้งในแง่รายได้และกำไรสุทธิ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นที่ทางบริษัทจะมีการส่งมอบงานที่มีอยู่ในมือที่รับมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 58