SMT บวก 6% โบรกฯเชียร์ซื้อเป้า 8 บ. ลุ้นกำไรปีนี้โตทะลุ 217 ลบ.
SMT บวก 6% โบรกฯเชียร์ซื้อเป้า 8 บ. ลุ้นกำไรปีนี้โตทะลุ 217 ลบ. พร้อมวางเป้าปี 65 ดันรายได้แตะ 3 พันลบ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (8ธ.ค. 2564) ราคาหุ้นบริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT ณ เวลา 12:15 น. อยู่ที่ระดับ 6.50 บาท บวก 0.35 บาท หรือ 5.69% สูงสุดที่ระดับ 6.60 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 93.26 ล้านบาท
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (5 พ.ย. 2564) ว่า SMT แม้กำไรสุทธิไตรมาส 3/2564 จะเท่ากับ 57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 31.40% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหากไม่รวม FX Gain ที่ 1.60 ล้านบาท และ Derivative Loss ที่ 2.70 ล้านบาท จะมีกำไรปกติเท่ากับ 58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.20% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 37.90% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เท่ากับคาดการณ์ (ทางฝ่ายวิจัยคาดไว้ 58 ล้านบาท)
อย่างไรก็ดีแม้ทางฝ่ายวิจัยจะผิดหวังกับรายได้ที่ต่ำคาดในไตรมาส 3/2564 แต่บริษัทระบุว่าปัญหา Lead Time วัตถุดิบได้คลี่คลายลง จึงคาดรายได้จะกลับมาฟื้นในไตรมาส 4/2564 ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2564 อยู่ที่ 2.50 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 ทำไปได้ 1.69 พันล้านบาท คิดเป็น 67.40% ของเป้าทั้งปี ซึ่งหมายถึงไตรมาส 4/2564 ต้องทำได้ถึง 815 ล้านบาท โดยทางฝ่ายวิจัยมองว่ามีโอกาสไม่ได้ตามเป้า
ขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 เท่ากับ 164 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 234.70% จากงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 76% ของประมาณการทั้งปี สำหรับแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/2564 คาดจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง เบื้องต้นทางฝ่ายวิจัยคาดไว้เพียง 51 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทยังมั่นใจต่อการเติบโตในปี 2565 จากคำสั่งซื้อที่ดีต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ารายได้ปีหน้าเพิ่มขึ้น 27% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็น 3.30 พันล้านบาท ซึ่งผู้บริหารแจ้งว่า Secured ไปแล้ว 80% และอยู่ระหว่างมองหาทำเลที่ตั้งโรงงานแห่งที่ 2 เพื่อใช้ขยายกำลังการผลิตในอีก 2 ปีข้างหน้า และเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการมีโรงงานเดียว สำหรับทาฝ่ายวิจัยยังมองว่ามีโอกาสที่จะทำได้ และยังต้องติดตามต่อไป
ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ไว้ตามเดิมที่ 217 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 166.40% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2565 ไว้ตามเดิมที่ 289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.10% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และคงราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 8 บาท (อิงค่า PE เดิม 25 เท่า) ยังมี Upside 24% คงคำแนะนำ “ซื้อ”