EFORL มั่นใจกำไรปีนี้โตก้าวกระโดด หลังมีกำไรพิเศษขายหุ้น “วุฒิศักดิ์”
(เพิ่มเติม) EFORL มั่นใจกำไรปีนี้โตก้าวกระโดด หลังมีกำไรพิเศษขายหุ้น "วุฒิศักดิ์" ราว 534 ลบ. ขณะที่คาดรายได้ปีนี้เกินเป้าจากเดิมคาด 4.2 พันลบ. คงแผนย้ายเข้าเทรดใน SET ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า พร้อมเตรียมยื่นไฟลิ่ง “วุฒิศักดิ์” (WCIG) ในเดือนธ.ค.นี้ คาดเข้าทำการซื้อขายใน SET ได้ในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย.59 โดยมี บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นายธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจกำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตก้าวกระโดดจากปีที่แล้ว ที่มีกำไรสุทธิ 240.73 ล้านบาท ตามรายได้ที่คาดว่าจะเติบโตมากกว่าปีก่อนและสูงกว่าเป้าหมายเล็กน้อย จากธุรกิจที่ขยายตัว ประกอบกับจะมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้นในบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (WCIG) ในช่วงครึ่งปีหลังราว 534 ล้านบาท
โดยในส่วนของรายได้ปีนี้ คาดว่าน่าจะทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้เล็กน้อย จากคาดการณ์เดิมที่ 4.2 พันล้านบาท และสูงกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 1.49 พันล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ คิดเป็น 45% ขณะที่อีก 55% มาจากธุรกิจเสริมความงามหรือวุฒิศักดิ์คลินิค ขณะที่ในส่วนของอัตรากำไรสุทธิปีนี้ ก็น่าจะมากกว่า 16.15% ในปีก่อน เป็นผลมาจากการดำเนินกลยุทธ์การทำกำไรระยะสั้น (Early Harvest) จากการขายสินค้า
ขณะที่เมื่อเดือนก.ย.บริษัทได้ขายหุ้น WCIH จำนวน 9 ล้านหุ้น ซึ่งคาดว่าจะบันทึกกำไรพิเศษราว 270 ล้านบาท และในไตรมาส 4/58 จะขายหุ้นดังกล่าวออกอีกจำนวน 8.8 ล้านหุ้น คาดว่าจะมีกำไรพิเศษ 264 ล้านบาท เนื่องจากเป็นการขายหุ้นที่ราคา 55 บาท/หุ้นจากที่ซื้อเข้ามาเพียง 25 บาท/หุ้น ขณะที่การขายหุ้น WCIH ล่าสุดเมื่อเดือนก.ย.นั้น ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทเหลือราว 51% จากเดิมราว 60%
อย่างไรก็ตามบริษัทก็ได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ WCIH จำนวน 16 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 50 บาท เป็นมูลค่า 800 ล้านบาท เพื่อเติมเงินเข้าไปใน WCIH ให้นำไปชำระหนี้ โดยในช่วงเดือน ก.ย. 58 ซื้อหุ้นเพิ่มทุนไปจำนวน 9.6 ล้านหุ้น และจะซื้ออีกจำนวน 6.4 ล้านหุ้น ในไตรมาส 4/58 ซึ่งภายหลังการเพิ่มทุนให้ WCIH ไปชำระหนี้จำนวน 800 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือ 2 เท่าในสิ้นปีนี้ จากเดิมที่ 5.18 เท่า ซึ่งจะลดภาระดอกเบี้ยจ่ายได้ราว 35-45 ล้านบาท/ปี
“ปีนี้คิดว่ารายได้น่าจะเกินเป้าหมายมาเล็กน้อย จากที่คาดจะทำได้ 4.2 พันล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากการขายเครื่องมือแพทย์ 45% กับธุรกิจเสริมความงาม 55% หรือคิดเป็นเงินจำนวน 2,000 ล้านบาทและ 2,000 กว่าล้านบาท ตามลำดับส่วนกำไรสุทธิก็น่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเรามีการใช้กลยุทธ์การทำกำไรระยะสั้น ทำให้ได้กำไรได้ไว ประกอบกับยังมีกำไรพิเศษเข้ามาอีกด้วย”นายธีรวุทธิ์ กล่าว
สำหรับการลงนามข้อตกลงกับบริษัท iHealth Lab Inc Silicon Valley,California. ประเทศสหรัฐอเมริกา (iHealth) เพื่อแต่งตั้งให้ EFORL เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของ iHealth แต่เพียงผู้เดียว เป็นระยะเวลา 3 ปีนั้น ในส่วนของสินค้าที่จะนำมาวางจำหน่ายในประเทศไทย จะเป็นสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางด้านสุขภาพส่วนบุคคลแบบพกพาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ใช้งานง่าย ช่วยให้ผู้ใช้งานทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าถึง และบริหารจัดการสุขภาพของตนเองได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยควบคุมดูแลสุขภาพ และป้องกันภาวะที่ไม่พึงประสงค์ก่อนการเกิดโรค อาทิ เครื่องวัดความดันโลหิต ,เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือด ,เครื่องวัดปริมาณออกซิเจนในเลือด และชีพจร ,เครื่องวัดการทำกิจกรรม และติดตามการนอนหลับ รวมถึงเครื่องชั่งน้ำหนัก และวิเคราะห์ร่างกาย
อย่างไรก็ตามหลังจากมีการจำหน่ายสินค้าดังกล่าวบริษัทตั้งเป้าหมายจะมีสมาชิกภายในปี 59 ราว 1 แสนราย และน่าจะสามารถจำหน่ายสินค้าได้ถึง 1 แสนเครื่อง ประกอบกับยังมีแผนเปิดศูนย์การดูแลสุขภาพให้กับลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ iHealth แบบครบวงจรอีกด้วย โดยมีแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญให้การดูแล และแนะนำโดยตรงกับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสมาชิกตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งคาดจะใช้เงินลงทุนราว 100 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ด้วยปัจจัยดังกล่าวข้างต้นจะส่งผลให้ผลประกอบการในปี 59 ทั้งรายได้และกำไรสุทธิ เติบโตอย่างก้าวกระโดดแน่นอน โดยสัดส่วนรายได้ก็น่าจะใกล้เคียงเดิม
ทั้งนี้บริษัทยังคงแผนที่จะย้ายหุ้นไปทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมองว่าการย้ายเข้าเทรด SET จะต้องเป็นผลดีต่อผู้ถือหุ้น และถ้าไม่สามารถติดอันดับใน SET100 ,SET50 ก็อาจจะไม่ได้รับความน่าสนใจแก่นักลงทุน
ด้านนายณกรณ์ กรณ์หิรัญ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ WCIG เปิดเผยว่าบริษัทจะยื่นแบบเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต.) ได้ในเดือนธ.ค.นี้ และคาดว่าจะสามารถเข้าทำการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย.59 โดยมีทุนจดทะเบียน 1,160 ล้านหุ้น และมี บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ขณะที่วัตถุประสงค์ของการระดมทุนครั้งนี้บริษัทมีแผนที่จะนำเงินที่ได้มาชำระหนี้ เพื่อให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) เป็น 0 เท่า หรือปลอดหนี้ จากปัจจุบันมีหนี้อยู่ราว 1,000 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิเติบโต 300-400% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 90 ล้านบาท โดย 9 เดือนที่ผ่านมาสามารถทำกำไรได้แล้วกว่า 150 ล้านบาท เป็นผลจากการที่บริษัทมีการควบคุมต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง อีกทั้งมีอำนาจในต่อรองสินค้า ทำให้มีต้นทุนที่ลดลง
ขณะเดียวกันคาดรายได้ในปีนี้น่าจะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อน จากปีก่อนมีรายได้ 3.8 พันล้านบาท โดยบริษัทจะเน้นขยายธุรกิจในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างเจรจาเรื่องสัญญาแฟรนไชส์ในประเทศอินเดียและอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเรื่องสัญญาปลายปีนี้
โดยปัจจุบัน บริษัทมีสาขาวุฒิศักดิ์ในต่างประเทศจำนวน 12 สาขา และมีสาขาในประเทศ 128 สาขา โดยในปีนี้บริษัทได้เปิดสาขาเพิ่มอีก 3-4 สาขา งบลงทุนสาขาละ 10 ล้านบาท