JR พุ่งต่อ 5% โบรกฯ เคาะเป้า 8.40 บ. ลุ้นกำไรปี 64 โตกว่าเท่าตัว
JR พุ่งต่อ 5% มาที่ 8.05 บาท นิวไฮรอบ 6 เดือน โบรกฯ เคาะเป้า 8.40 บ. ประเมินกำไรปี 64 แตะ 227 ลบ. โตกว่าเท่าตัว ลุ้นปี 65 คว้างานใหม่มูลค่า 6 พันลบ.
บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JR ล่าสุด ณ เวลา 15:27 น. อยู่ที่ 8.05 บาท บวก 0.35 บาท หรือ 4.55% สูงสุดที่ 8.05 บาท ต่ำสุดที่ 7.65 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 65.05 ล้านบาท ทั้งนี้ราคาหุ้น JR ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 6 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 8.15 บาท เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2564
ทั้งนี้บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (17 ธ.ค.2564) ว่า แนวโน้มผลประกอบการ JR ในระยะสั้นไตรมาส 4/2564 ยังมีแนวโน้มทรงตัวเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ตามระดับการส่งมอบงานหลักใน Backlog สิ้นสุด ไตรมาส 3/2564 ที่มี 4.9 พันล้านบาท ที่ยังต่ำกว่าปกติเนื่องจากอุปสรรคในการส่งมอบงานยังมีบางส่วน ในจุดเป็นงานเชื่อมต่อกับงานก่อสร้างอื่น
อย่างไรก็ดีคาดว่าการฟื้นตัวของธุรกิจนับจากปี 2565 ดูน่าสนใจขึ้น ทั้งในส่วนความคาดหวังการได้งานใหญ่มาต่อฐาน Backlog ที่มี คือ งานนำสายไฟฟ้าอากาศลงดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู เฟส 2 ซึ่งกระบวนการจัดหาผู้ประกอบการมาดำเนินงานคืบหน้าอีกครั้ง กล่าวคือ JR ในฐานะที่เป็นผู้ศึกษาราคากลางปัจจุบันสามารถเข้าสำรวจพื้นที่หน้างานจริง หลังจากไม่สามารถเข้าสำรวจได้ในช่วงCOVID ระบาด จนส่งผลให้กระบวนการต่างๆ ล่าช้า และออกแบบภาพรวมงาน
รวมถึงมูลค่ากลางได้แล้ว หลังจากนี้คาดจะเข้าสู่กระบวนการประมูลผู้ชนะงานดังกล่าว ซึ่ง JR เชื่อว่าภายใต้ความได้เปรียบในเรื่องฐานะการเงิน+ประสบการณ์ทำงานในเฟส 1 จะช่วยให้มีโอกาสได้งานสูง โดยมูลค่างานที่ประเมินไว้อยู่ที่ 6 พันล้านบาท ยังมีโอกาสสูงขึ้น เพราะอยู่ภายใต้สมมติฐานราคาต้นทุนหลักทองแดงและเหล็กที่อนุรักษ์นิยม ทั้งนี้ JR คาดได้งานงวดไตรมาส 2/2565 และเริ่มรับรู้รายได้นับจากไตรมาส 4/2565
นอกจากนี้ส่วนทีน่าสนใจ คือ อานิสงส์ที่บริษัทมีโอกาสได้รับจากกระแสพลังงานสะอาด ซึ่งนำมาสู่ความจำเป็นลงทุนวางระบบไฟฟ้าต่างๆ เช่น สายส่ง สถานีไฟฟ้าย่อย ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ JR เชี่ยวชาญจากประสบการณ์รับงานที่ผ่านมาให้หลากหลายผู้ประกอบการชั้นนำ อาทิ BRGIM, GULF, EA ปัจจุบันมีงานวางระบบไฟฟ้าที่ JR รอประมูลในปี 2565 มีมูลค่าราว 1 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมถึงงานอื่นๆที่ JR เชี่ยวชาญด้วย อาทิ งานรื้อสายเคเบิ้ล, สายไฟ และงาน ICT อื่นๆ อีกราว 400 ล้านบาท
ส่วนในระยะยาว กลุ่มงานที่ JR มุ่งเน้นจะอยู่บนธีม Carbon Neutral คือ การใช้พลังงานที่สร้างมลพิษน้อย, ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคาดหวังปริมาณระยะยาวจำนวนมาก ทั้งการลงทุนระบบไฟฟ้ารองรับ Charging Station, Energy Storage รวมถึงระบบรองรับโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกต่างๆ ที่มีมากขึ้น ขณะที่ JR กำหนดกลยุทธ์การแข่งขันโดยการรวมความเชี่ยวชาญงาน ICT ที่สามารถประยุกต์ใช้กับธุรกิจไฟฟ้า เพื่อสร้างความแตกต่าง เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ระบบต่างๆ ของลูกค้าให้สูงขึ้น
สำหรับภาพรวมผลกระทบระยะสั้นการส่งมอบงานที่ยังไม่ปกติต่อรายได้และกำไรที่อาจจะทรงตัวเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ในไตรมาส 4/2564 ถือว่าอยู่ในความคาดหมายของฝ่ายวิจัยอยู่แล้ว โดยรวมจึงยังคงประมาณการปี 2564 เติบโต 157% มาอยู่ที่ 227 ล้านบาทไว้ก่อน แต่คาดการณ์กำไรปี 2565 ที่ประเมินเติบโต 27%
รวมถึงในระยะถัดไป ฝ่ายวิจัยเริ่มเห็น Upside ที่เปิดขึ้น จากหลายส่วน โดยเฉพาะมูลค่างานใหม่ปี 2565 ที่ฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ที่ 6.7 พันล้านบาท หลักๆ มาจากงานงานนำสายไฟฟ้าอากาศลงดิน เฟส 2 มูลค่า 6.0 พันล้านบาท ที่เหลืองานอื่นๆ 700 ล้านบาท โดย Upside เห็นทั้งในส่วนของงานนำสายไฟฟ้าอากาศลงดิน เฟส 2 ที่มีมูลค่างานมีโอกาสสูงกว่าสมมติฐานที่ฝ่ายวิจัยรวมไว้เพียง 6 พันล้านบาท จากต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ขณะที่งานอื่นๆ ที่ JR เข้าร่วมปี 2565 ถึงราว 1.4 พันล้านบาท
รวมถึงระยะถัดไปที่ฝ่ายวิจัยกำหนดเพียง 700 ล้านบาทต่อปี vs ปริมาณงานวางระบบไฟฟ้าที่กำลังเข้าสู่วงจรลงทุนรอบใหญ่ตามธีม Carbon Neutral ทั้งนี้ เพื่อรอความชัดเจนของการได้งานจริงในระยะถัดไป รวมถึงการติดตามแนวโน้มประสิทธิภาพงานวางระบบไฟฟ้าที่ตามปกติแล้วในอุตสาหกรรมมีระดับไม่สูงราว คือมีอัตรากำไรขั้นต้นราว 10%-12% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย JRปัจจุบันที่เกิน 15% โดยรวมจึงยังคงประมาณการเดิมไปก่อน
อย่างไรตามผลกระทบกำไรระยะสั้นที่ทรงตัว เชื่อว่าสะท้อนในราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงถึงราว -9.0% ตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุการณ์ปิดแคมป์คนงานแล้ว ประกอบกับ ปัจจัยหนุนที่รออยู่ทั้ง ภาพปี 2565 ที่กำไรกลับมาฟื้นตัว จากฐาน Backlog ที่ครอบคลุมเป้าหมายรายได้แทบทั้งหมดแล้ว
ขณะที่จะมีสีสันการได้งานเข้ามาต่อยอด ซึ่งจะสร้าง Upside ต่อประมาณการ ตามความต้องการลงทุนระบบไฟฟ้าที่เข้าสู่วงจรเติบโตบนธีม Clean Energy ซึ่งสร้างความต่อเนื่องระยะถัดไป กอปรกับ มูลค่าพื้นฐานปี 2565 อิง PER ที่ 22 เท่าอยู่ที่ 8.4 บาท ยังมี Upside ลงทุนได้ แนะนำ “ซื้อ”