NCL บวก 4 % รับแผนธุรกิจเด่น-ลุ้นผลงานปี 64 “เทิร์นอะราวด์”
NCL บวก 4 % รับแผนธุรกิจเด่น-ลุ้นผลงานปี 64 "เทิร์นอะราวด์" หลัง 9 เดือนแรกมีกำไร 79.95 ลบ. โดย ณ เวลา 10:50 น. อยู่ที่ระดับ 4.66 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (18 ม.ค.65) ราคาหุ้นบริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NCL ณ เวลา 10:50 น. อยู่ที่ระดับ 4.66 บาท เพิ่มขึ้น 0.16 บาท หรือ 3.56% โดยทำจุดสูงสุดที่ 4.72 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 4.42 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 81.47 ล้านบาท คาดเก็งกำไรผลงานปี 64 พลิกมีกำไรหลัง 9 เดือนแรกมีกำไร 79.95 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปี2563 ขาดทุนสุทธิ19.59 ล้านบาท
โดยก่อนหน้านี้(11 ม.ค.65) นายพงษ์เทพ วิชัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NCL เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯยังมุ่งเน้นขยายธุรกิจหลัก เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการขนส่ง โลจิสติกส์ที่เปลี่ยนแปลงหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเส้นทางการขนส่งไปยังท่าเรือต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับลูกค้าขนส่งระหว่างประเทศ เพิ่มปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ และการพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรให้รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
โดยได้ต่อยอดธุรกิจโกดังสินค้า และเพิ่มธุรกิจใหม่เข้ามาคือ ธุรกิจขนส่งทางบกให้บริการ Fulfillment center หรือศูนย์รวมสินค้าที่ทำหน้าที่ในการรับสินค้าจากธุรกิจที่ใช้บริการเข้ามาจัดเก็บไว้และการจัดส่งสินค้าให้กับธุรกิจอย่างครบวงจร ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาการเป็นพันธมิตรกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบจัดการสินค้าในโกดังเก็บสินค้า คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาส1/2565 รวมทั้งยังได้เข้าลงทุนในธุรกิจดิจิทัลที่เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบให้กับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นบริษัทที่มีฐานรายได้สม่ำเสมอ
ขณะเดียวกัน NCL ยังมีกระแสเงินสดจากการดำเนินการที่เพิ่มขึ้นทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างมั่นคง จึงทำให้มั่นใจว่าผลการดำเนินงานปี 2565 จะเติบโตไม่น้อยกว่าปี 2564 ซึ่งในงวด 9 เดือนของปี 2564 มีกำไรสุทธิ 79.95 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้น 507.91% จากงวดเดียวกันปีก่อน
ทั้งนี้ การที่อุตสาหกรรมโลจิสติกส์มีการเปลี่ยนไปมาก จากการแพร่ระบาดของโควิด -19 ทำให้บริษัทฯ มีมุมมองเชิงบวกต่อการดำเนินธุรกิจขนส่ง ทั้งปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต ซึ่งคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือค่าระวางเรือที่คาดว่าจะสร้างฐานราคาใหม่ในไตรมาส 2/2565 ซึ่งคาดว่าปีนี้ปริมาณความต้องการขนส่งสินค้ายังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในการขนส่ง และพื้นที่บนเรือขนส่งที่ยังไม่คลี่คลาย ทำให้เชื่อว่าปริมาณลูกค้าจะเข้ามาใช้บริการของ NCL เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่สัดส่วนรายได้หลักปีนี้ยังคงมาจากการให้บริการขนส่งทางทะเลมากกว่า 70% และคาดว่าจะเห็นการเติบโตของรายได้จากธุรกิจใหม่ Fulfillment center อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนรายได้จาก Non-logistics ยังเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมขนส่งที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอัตรากำไรต่อรายได้ที่ค่อนข้างสูงในธุรกิจดิจิทัล จึงคาดว่าสัดส่วนกำไรของ Non logistics จะอยู่ที่ประมาณ 20-25% ของกำไรทั้งหมด
โดยบริษัทมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความเชี่ยวชาญในการเป็นผู้ให้บริการ Logistics แบบครบวงจรและไม่ปิดกั้นการเข้าศึกษาธุรกิจใหม่ๆ ที่พิจารณาแล้วเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู้ค้า และพนักงานอย่างยั่งยืน
“ดังนั้นภาพธุรกิจของ NCL ต่อจากนี้จะออกจากกรอบการดำเนินงานแบบเดิม โดยจะพัฒนารูปแบบการดำเนินงานและบริการในรูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้รวดเร็ว แม่นยำมากยิ่งขึ้น พร้อมใช้ความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลในการพัฒนาบริการใหม่ที่ตอบความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุดมากขึ้น เพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันในสภาวะอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา” นายพงษ์เทพ กล่าว