TU วิ่ง 3% ลุ้นกำไรปี 64 แตะ 8 พันลบ. โต 30%  โบรกฯเคาะเป้า 30 บ.

TU วิ่ง 3% ลุ้นกำไร Q4/64 แตะ 1.90 พันลบ. ดันทั้งปีโต 30% รับปรับขึ้นราคาและดีมานด์ยังสูง โบรกฯเคาะเป้า 30 บ.  


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (24 ม.ค. 2565) ราคาหุ้นบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ณ เวลา 10:54 น. อยู่ที่ระดับ 20.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท หรือ 3.06% โดยทำจุดสูงสุดที่ 20.40 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 19.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 258.34 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (24 ม.ค. 2565) โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 1,904 ลดลง 1.70% จากไตรมาสก่อน แต่ทรงตัว 30.60% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ถือว่าดูดีกว่าที่เคยคาด แม้จะเป็น Low Season ของธุรกิจ แต่คาดเห็นการเติบโตทั้ง Frozen Food, Pet Care และ Ambient ตาม Demand ที่ดีขึ้น นอกจากนี้แม้ยังเผชิญต้นทุนสูงขึ้นจากค่าระวางเรือ คาดค่าขนส่งขยับขึ้นเป็น 500-520 ล้านบาท จาก 480 ล้านบาทในไตรมาส 3/2564 และ 200 ล้านบาทในไตรมาส 2/2564 น่าจะทำให้ SG&A to Sales ทรงตัวสูงที่ 12.60% จาก 12.70% ในไตรมาส 3/2564 และ 12.20% ในไตรมาส 4/2563

รวมถึงส่วนแบ่งขาดทุนจาก Red Lobster จะขยับขึ้นจากไตรมาสก่อน เพราะเป็น Low Season แต่เชื่อว่าผลลบทั้งหมดจะถูกหักล้างได้ทั้งหมดด้วย Demand ที่ดี และเริ่มทยอยปรับขึ้นราคาขายสินค้า OEM รวมถึงค่าเงินบาทอ่อนค่า จึงคาดรายได้รวมจะโต เพิ่มขึ้น 5.50% จากไตรมาสก่อน และ เพิ่มขึ้น 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะขยับขึ้นเป็น 18.50% จาก 18% ในไตรมาส 3/2564 และไตรมาส 4/2563

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยยังเห็นปัจจัยลบ 3 ประการในปี 2565 นั่นคือ (1) ค่าขนส่งยังทรงตัวสูง แต่เชื่อว่าใกลผ่านพีคแล้ว (2) ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ปรับสูงขึ้น โดยราคาอลูมิเนียมเฉลี่ยจากไตรมาสก่อนถึงปัจจุบัน เท่ากับ 2,968 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น 7.50% จากไตรมาสก่อน โดยบริษัทฯ มีสต็อกล่วงหน้าราคาต่ำพอใช้ถึงสิ้นปี 2564 และจะเริ่มรับรู้ต้นทุนใหม่ที่สูงขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 1/2565 เป็นต้นไป ทั้งนี้จากการทำ Sensitivity ของทางฝ่ายวิจัยพบว่าราคาอลูมิเนียมที่ปรับขึ้นทุก 10% จะกระทบต่อกำไร 4% และกระทบราคาเป้าหมาย 1 บาทต่อหุ้น

อีกทั้ง (3) ราคาปลาทูน่าเดือน ธ.ค. เท่ากับ 1,750 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น 9.40% จากเดือนที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 34.60% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขยับขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน คาดจะเริ่มกระทบต้นทุนในไตรมาส 2/2565 ทั้งนี้บริษัทฯ มองว่าราคาปลาน่าจะกลับมาอ่อนลงในเดือน ก.พ. และเดือน มี.ค. เมื่อสภาพอากาศเริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ทยอยปรับขึ้นราคากลุ่ม OEM แล้วในไตรมาส 4/2564 และอยู่ระหว่างเจรจาปรับราคากลุ่ม Branded จะแล้วเสร็จภายในเดือน ก.พ. เชื่อว่าจะครอบคลุมต้นทุนที่สูงขึ้นได้ทั้งหมด

ทั้งนี้หากกำไรสุทธิไตรมาส 4/2564 เป็นไปตามคาด บริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.50% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และคาดกำไรปกติอยู่ที่ 7.40 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และด้วยกลยุทธ์การปรับขึ้นราคา จึงยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2565 ไว้ที่ 7.60 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.80% จากงวดเดียวกันของปีก่อน คงราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 30 บาท (SOTP, Implied เป็นค่า PE ที่ 20 เท่า) บริษัทฯ อยู่ระหว่าง Spin-off ธุรกิจ Pet Care หรือ i-Tail คาดภายในไตรมาส 3/2565

Back to top button