CIVIL พุ่งแรง 12% โบรกฯชี้กำไรปี 65 แตะ 269 ลบ. ตุนแบ็คล็อกแน่น-งานใหม่หนุน เป้า 7.70 บ.
CIVIL พุ่งแรง 12% โบรกฯคาดกำไรปี 65 แตะ 269 ลบ. เติบโต 23% ตุนแบ็คล็อกเต็มมือ-มั่นใจต่อโอกาสรับงานใหม่มากกว่าในอดีต แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 7.70 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7 ก.พ. 2565) ราคาหุ้น บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ CIVIL ณ เวลา 11:03 น. อยู่ที่ระดับ 6.90 บาท บวกไป 0.75 บาท หรือขึ้นไป 12.20% โดยทำจุดสูงสุดที่ระดับ 7.05 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 6.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 693.87 ล้านบาท
สำหรับราคาหุ้น CIVIL ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนพื้นฐานของบริษัทคงมีความแข็งแกร่ง หลังจากก่อนหน้าทาง นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CIVIL ปิดเผยว่า บริษัทฯปัจจัยบวกทั้ง 4 ด้านส่งผลให้ทางบล.บัวหลวงประเมินราคาเป้าหมายใหม่สูงขึ้น ได้แก่
1) การมีจุดเด่นในเรื่องการบริหารต้นทุน และมี Gross margin ระดับ Double digit โดยเฉลี่ยช่วง ปี 2561-2563 อยู่ที่ 14.5% และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 11.1% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 9.1% และ 8.2% ตามลำดับ จากการที่มีโรงงานช่วยลดต้นทุนวัสดุ, การ Balance Portfolio ที่มีงานทั้งโครงการใหญ่ – เล็ก เพื่อรักษาระดับกำไรขั้นต้น (Gross Profit) ระดับ Double digit, การใช้เครื่องจักร – เทคโนโลยีช่วยก่อสร้างเพื่อลดการพึ่งพาแรงงาน และสนับสนุนอุตสาหกรรมแรงงานไทยให้เป็นแรงงานฝีมือมากขึ้นซึ่งจะช่วยหนุน Gross Profit ให้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงการขาดแคลนแรงงานในอนาคต
2) หลายโครงการใน Pipeline รองรับฐานกำไรเติบโต อีกทั้ง CIVIL มีศักยภาพในการหางานใหม่เฉลี่ย 5,000 ล้านบาทต่อปี และคาดการณ์ว่ามูลค่างานในมือสะสม (Backlog) ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 16,000 ล้านบาท ส่งผลให้รักษาระดับรายได้ 5,000 – 6,000 ล้านบาทต่อปี ได้อีกอย่างน้อย 2-3 ปี อีกทั้งจากการ IPO ทำให้บริษัทฯ มีเงินลงทุนขยายเครื่องจักร สามารถเดินหน้าหางานใหม่มาเติมได้ต่อเนื่อง เช่น งานเซ็นสัญญาเข้ารับงานบริหารโครงการก่อสร้างกับหน่วยงานภาครัฐ รวมจำนวน 3 โครงการ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 82 สายทางยกระดับบางขุนเทียน -บ้านแพ้ว ช่วงเอกชัย – บางแพ้ว ตอน 8 มูลค่าโครงการ 1,911 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างทางหลวงชนบทเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว ถนนสาย บ.หาดสำราญ-ตะเสะ (ตอนที่2) มูลค่าโครงการ 34.5 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างถนนยางแอสฟัลติกคอนกรีตสาย อย.4055 แยกทางหลวงหมายเลข 3267 – บ้านตาลเอน อ.มหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มูลค่าโครงการ 45 ล้านบาท
นอกจากนี้งานในระบบของกระทรวงคมนาคมช่วง 1 – 5 ปีข้างหน้า ยังมีมูลค่ารวมสูงถึง 900,000 ล้านบาท และบริษัทฯ ยังมีแผนขยายงานร่วมกับพาร์ทเนอร์อื่น ๆ อีกด้วย เช่น UNIQ
3) การมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อแนวโน้ม Backlog และผลประกอบการของบริษัทฯ หลังกลุ่มบริษัทโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศอย่างบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS และ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เข้ามาถือหุ้นตั้งแต่ IPO จึงประเมินว่าบริษัทฯ มีโอกาสที่จะได้เข้าร่วมงานโยธาโครงการขนาดใหญ่มากขึ้น เพราะกลุ่มบริษัทบีทีเอส และพันธมิตรอย่างบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC มีงานสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน ซึ่งคาดว่ามูลค่างานโยธาจะอยู่ที่ประมาณ 120,000 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นการหาผู้รับเหมาในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 อีกทั้ง GULF ที่มีการลงทุนโรงไฟฟ้า – เขื่อนในลาว โครงการแรกประมาณ 70,000 ล้านบาท หาก CIVIL ได้ส่วนแบ่งงานเพียง 10% จาก 2 โครงการดังกล่าว ก็จะทำให้ Backlog เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยบล.บัวหลวงประเมินกรณี Best case scenario ว่าบริษัทฯ สามารถรับงานได้เต็มกำลังสูงสุดราว 15,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหมายถึงรายได้มีโอกาสจะเติบโตเกือบ 2 เท่าตัวจากปัจจุบัน
4) การคาดการณ์กำไรหลักในปี 2565 ที่ 269 ล้านบาท เติบโต 23% เมื่อเทียบกับปีก่อน หากอิงตาม Backlog เดิม แต่จากความมั่นใจต่อโอกาสรับงานใหม่มากกว่าในอดีต ทางบล.บัวหลวงจึงได้ปรับสมมติฐานงานใหม่ในปี 2566 จากเดิม 5,000 ล้านบาทเป็น 7,500 ล้านบาท และหลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้น 15% ต่อปี ทำให้ประมาณการณ์กำไรหลักในปี 2565 – 2569 จะเติบโตเฉลี่ย 23% และทางบล.บัวหลวง ได้วิเคราะห์กรณี Base case มีงานใหม่ 9,000 ล้านบาทในปี 2566 ไต่ระดับไปเต็ม Maximum capacity ในปี 2569 พบว่ากำไรหลักปี 2565 – 2569 จะเติบโตเฉลี่ยถึง 34%
ผลดังกล่าวข้างต้นส่งผลให้ทางบล.บัวหลวงได้ประเมินราคาเป้าหมายของหุ้น CIVIL ใหม่ที่ 7.70 บาท โดย re-rate PER target อยู่ที่ 20 เท่า จากเดิม 14 เท่า โดยอิง PEG เพียง 0.6 เท่า บนการเติบโต 5 ปี เฉลี่ย 34% ตามประมาณการกำไรกรณี Best case โดย PER target ที่ 20 เท่า เป็นระดับ Premium valuation มากกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่เฉลี่ย 16.5 เท่า สะท้อนความเชื่อมั่นต่อภาพการเติบโตแบบ Super growth stock ที่จะโดดเด่นกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมไปได้อีกหลายปี