VGI ต้นทุนพุ่ง-ส่วนแบ่งร่วมค้าหด! ฉุดงบ Q3 พลิกขาดทุน แจกปันผลหุ้นละ 0.02 บ.

VGI ต้นทุนพุ่ง-ส่วนแบ่งร่วมค้าหด! ฉุดงบไตรมาส 3 พลิกขาดทุน ใจปั้มแจกปันผลหุ้นละ 0.02 บ.  จ่อขึ้น XD 25 ก.พ. จ่ายเงิน 14 มี.ค.65


บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน)  หรือ VGI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2564/65 (สิ้นสุด 31ธันวาคม 2564)

โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2564/65 (สิ้นสุด 31ธันวาคม 2564) พลิกขาดทุนสุทธิเนื่องจากต้นทุนการให้บริการและการขายเพิ่มขึ้น 1,105 ล้านบาท เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 359 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการขายและบริการอยู่ที่ 367 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 220 ล้านบาท

ขณะเดียวกันส่วนแบ่งจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าและบริษัทร่วมพลิกขาดทุน 119 ล้านบาท เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร  542 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทฯ ประกาศจ่ายปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 เม.ย. 2564 ถึงวันที่ 30 ก.ย. 2564 และกำไรสะสมเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.02 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 25 ก.พ.2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 14 มี.ค.2565

โดย นายเนลสัน เหลียง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ VGI เปิดเผยว่า ไตรมาสที่ผ่านมานับเป็นการเริ่มต้นปีที่ท้ายท้ายเป็นอย่างมาก แม้การเติบโตของรายได้จะเริ่มกลับคืนมา แต่บริษัทฯ ยังคงต้องเผชิญอยู่กับความกดดันจากสถานการณ์ COVID-19 ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจโดยรวม และส่งผลกระทบเป็นพิเศษสำหรับธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน (OOH)

อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทฯ ยังสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยสามารถสร้างรายได้รวมอยู่ที่ 1,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110% เมื่อเทียบจากปีก่อน และแม้ว่ารายรับจะเพิ่มขึ้นแต่บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ 76 ล้านบาท  สาเหตุมาจากส่วนแบ่งขาดทุนจากกิจการร่วมค้าและบริษัทร่วม

ทั้งนี้รายได้ของธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน มีการปรับตัว ลดลง 5% เมื่อเทียบจากปีก่อน   เป็น 436 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในไตรมาสที่ 3 เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางการเติบโตของรายได้แบบไตรมาสต่อไตรมาสอยู่ที่ 48%  และมีรายได้ของธุรกิจบริการด้านดิจิทัล 312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41%เมื่อเทียบจากปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากค่าคอมมิชชั่นประกันภัยและการสร้างโอกาสในการขาย รวมถึงมีรายได้จากธุรกิจการจัดจำหน่ายอยู่ที่ 681 ล้านบาท

ด้านธุรกิจบริการชำระเงิน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายการให้บริการด้านดิจิทัลและออนไลน์ผ่านกลุ่มแรบบิทที่เป็นผู้นำด้านดิจิทัลโซลูชั่นส์อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัท แรบบิท ไลน์ เพย์ ให้บริการผู้ใช้งานมากกว่า 9.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16.1% และมีจำนวนบัตรแรบบิทถึง 14.8 ล้านใบ เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบปีต่อปี

สำหรับธุรกิจการจัดจำหน่าย มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องโดยล่าสุดเปิดตัวแอปพลิเคชั่นนำร่อง Rabbit Selection ซึ่งบริหารงานโดย Fanslink ภายใต้แนวคิด “Good life is not expensive” ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสมจากผู้ผลิตที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งนี้จะทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับประสบการณ์การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างไร้รอยต่อและราบรื่น ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์

แม้ในปัจจุบันประเทศกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดล่าสุดของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยน้อยกว่าการระบาดในครั้งก่อน เนื่องจาก Omicron มีอาการของโรคที่รุนแรงน้อยกว่าเดิม ผนวกกับการรับมือของภาครัฐและภาคประชาชนดีขึ้น

ตลอดจนความคืบหน้าของกระบวนการการฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการฉีดวัคซีนทั่วประเทศอยู่ที่ 74.9% จึงทำให้ประชาชนเริ่มกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติ ในขณะเดียวกันรัฐบาลกำลังมีแผนที่จะประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคระบาดเฉพาะถิ่นภายในสิ้นปีนี้ จึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว  โดยธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 3.4% ในปี 2565

ทั้งนี้จากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่แม้ยังไม่ถึงระดับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด ประกอบกับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) เพื่อขยายระบบนิเวศทางธุรกิจของบริษัทฯ โดยธุรกรรมดังกล่าวส่งผลให้เงินกู้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 8,200 ล้านบาท  ทั้งนี้บอร์ด VGI ได้มีมติอนุมัติให้ออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) ควบคู่กับการออกและจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ (VGI-W3) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม

โดยการเพิ่มทุนในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อชำระหนี้เงินกู้ และเสริมสภาพคล่องที่มั่นคงด้านฐานะการเงินของบริษัทฯ และเพื่อการลงทุนในธุรกิจใหม่ในอนาคต ด้วยสถานะทางการเงินที่มีสภาพคล่องอย่างมั่นคงของบริษัทฯ จึงเชื่อมั่นว่าจะทำให้ VGI สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมส่งมอบผลประโยชน์สูงสุดให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายเมื่อสถานการณ์กลับสู่ปกติอีกครั้ง

สุดท้ายนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทครึ่งปีแรกให้แก่ผู้ถือหุ้นรวมเป็นเงิน 172 ล้านบาท ในอัตราหุ้นละ 0.02 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อตามบัญชีปิดเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2565 โดยจะทำการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 14 มีนาคม 2565

Back to top button