GLOBAL ดีดบวก 5% โบรกฯ แนะซื้อเป้า 28 บ. ชูหุ้นผลงานโตยาว
GLOBAL ดีดบวก 5% ราคาแตะ 20.80 บ. โบรกฯ แนะซื้อเป้า 28 บ. ชูหุ้นผลงานเติบโตระยะยาว หลังเข้าลงทุนในต่างประเทศ เตรียมเปิดสาขาเพิ่มอีก 7-8 สาขาทั้งในและต่างประเทศ เศรษฐกิจฟื้นตัวหนุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL ล่าสุด ณ เวลา 11.52 น. อยู่ที่ 20.80 น. บวก 1 บาท หรือ 5.05% สูงสุดที่ 20.80 บาท ต่ำสุดที่ 20 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 317.37 ล้านบาท
โดย บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ (14 ก.พ.2565) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น GLOBAL และราคาเป้าหมายที่ 28 บาท อิง PER ปี 2565 ที่ 37 เท่า โดยมองว่าบริษัทจะยังคงเห็นการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว ทั้งนี้ Key catalyst ซึ่งจะเป็น upside ต่อประมาณคือราคาเหล็กที่ปรับขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 1/2565 และการเข้าลงทุนในต่างประเทศที่มีโอกาสขยายได้อีกมากในอนานคต
ทั้งนี้ GLOBAL กำไรสุทธิไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 747 ล้านบาท เติบโต 98% เมื่อเทียบจากปีก่อน และเติบโต 13% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน สูงกว่าตลาดคาด 9% และคาด 12% หนุนโดยรายได้ที่ 8.25 พันล้านบาท (เติบโต 20% เมื่อเทียบจากปีก่อน และเติบโต 7% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน
โดยการเติบโตเมื่อเทียบจากปีก่อน มาจากการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น 4 สาขาเมื่อเทียบจากปีก่อน และ SSSG เติบโต 15% เมื่อเทียบจากปีก่อน นอกจากนี้ GPM ออกมาดีกว่าคาดที่ 25.5% (เทียบไตรมาส 4/2563 ที่ 26.4%, ไตรมาส 3/2564 ที่ 23.7%) จากราคาเหล็กที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวและการปรับสินค้า Housebrand กำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 3.34 พันล้านบาท เติบโต 71% เมื่อเทียบจากปีก่อน
สำหรับปี 2565 ประเมินกำไรสุทธิที่ 3.49 พันล้านบาท เติบโต 7% เมื่อเทียบจากปีก่อน หลักๆ หนุนโดยรายได้ที่เติบโตอีก 9% เมื่อเทียบจากปีก่อน จาก 1) การเปิดสาขาเพิ่มอีก 7-8 สาขาทั้งในและต่างประเทศ โดยบริษัทได้มีการเข้าไปลงทุนในบริษัทวัสดุก่อสร้างในอินโดนิเซีย คาดว่าจะรับรู้เข้ามาเป็น dividend income 2) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐฯ อาทิ โครงการ ช้อปดีมีคืน 3) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังธุรกิจได้ปรับตัวกับสถานการณ์โควิด และ 4) GPM ที่ 24.5% (เทียบปี 2564 ที่ 25.2%) โดยคงมุมมองว่าราคาเหล็กอาจอ่อนตัวลงจากปี 2564 อย่างไรก็ตาม บริษัทจะยังมีการปรับ product mix เน้นสินค้าที่มีอัตรากำไร และเพิ่มสัดส่วนสินค้า House Brand มากขึ้น
ขณะที่ราคาหุ้น Underperform SET -8% และ -15% ใน 3 และ 6 เดือนที่ผ่านมา จากราคาเหล็กที่ peak out ไปในช่วงไตรมาส 2/2564 และการระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่อาจกระทบต่อ consumption