PTTGC เดินหน้ากลยุทธ์ 3 สเต็ป ขับเคลื่อนธุรกิจโตยาว เกาะกระเแส 5 เมกะเทรนด์
PTTGC เดินหน้ากลยุทธ์ 3 สเต็ป ขับเคลื่อนธุรกิจโตยาว เกาะกระเแส 5 เมกะเทรนด์ เน้นกลุ่ม climate change, สังคมสูงวัย, สุขภาพ, urbanization, และ disruptive technology พร้อมทุ่มงบลงทุน 5 ปี (ปี 65-69) ราว 2 หมื่นล้านบาท ลุย 3 โครงการ "พลาสติกรีไซเคิล-ไอที-กลุ่มบริษัท Allnex"
นายจิตศักดิ์ สุนทรพันธุ์ ผู้จัดการฝ่าย การเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 18 ก.พ.65 ว่า ผลการดำเนินงานปี 2564 รายได้อยู่ที่ 465,128 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 326,270 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 44,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 200% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนอยูที่ 200 ล้านบาท
ทั้งนี้เนื่องจากการปรับตัวขึ้นของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีคอลที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาและเสปดจากการฟื้นตัวธุรกิจและความต้องการต่อเนื่องผลิตต่อเนื่อง และการรับรู้รายการพิเศษจากการขายหุ้นสามัญGPSC ซึ่งรับรู้ในงบการเงินรวม 11,834 ล้านบาท
โดยเดินหน้าธุรกิจแห่งอนาคตด้วยกลยุทธ์ 3 Steps ได้แก่ 1.Step Change กลยุทธ์การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน สานต่อสร้างเสริม GC ให้เข้มแข็ง ทั้งด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพการผลิต พร้อมยกระดับความสามารถในการแข่งขัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและตลาดโลกให้มากขึ้น โดยมีความก้าวหน้าโครงการ ดังนี้ โครงการผลิตพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง ของบริษัท Kuraray GC Advanced Material (KGC) ที่ PTTGC ร่วมทุนกับ บริษัท Kuraray และ บริษัท Sumitomo ของประเทศญี่ปุ่น อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อผลิต High Heat Resistant Polyamide-9T (PA-9T) จำนวน 13,000 ตันต่อปี และ Hydrogenated Styrenic Block Copolymer (HSBC) จำนวน 16,000 ตันต่อปี นับเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อรองรับเมกะเทรนด์โลก, โครงการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีน (PP) ของบริษัท HMC Polymers, การปรับโครงสร้างธุรกิจ PVC ภายหลัง VNT ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อขยายตลาด PVC ไปสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA)
2.Step Out กลยุทธ์การแสวงหาโอกาสต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการ allnex เพื่อสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่หรือในต่างประเทศ โดยการปรับองค์กรตั้งหน่วยงานธุรกิจต่างประเทศขึ้น เพื่อต่อยอดการเติบโตของบริษัทฯ มุ่งสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ สนองตอบความต้องการของผู้บริโภคภายใต้เมกะเทรนด์โลก
3.Step Up กลยุทธ์สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ ด้วยการเป็นต้นแบบองค์กรเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล มุ่งเน้นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) สร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) สอดรับกับเมกะเทรนด์ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate Change)
โดยในอนาคตบริษัทมีเป้าหมายการเติบโตในอนาคตโดยเกาะกระแส Mega trends จนถึงปี 2573 โดยเน้น 5 กลุ่ม เช่น climate change, สังคมสูงวัย, สุขภาพ, urbanization, และ disruptive technology)
อีกทั้งตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนของ Adjusted EBITDA ที่มาจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ performance materials (คือ Allnex, Vencorex, และ Kuraray) ให้สูงขึ้นเป็น 35% ในปี 2573 จาก 28% ในปี 2565 และลดสัดส่วนของธุรกิจ base materials ลงเหลือ 10% จาก 18%, และ disruptive technology) โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนของ Adjusted EBITDA ที่มาจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ performance materials (คือ Allnex, Vencorex, และ Kuraray) ให้สูงขึ้นเป็น 35% ในปี 2573 จาก 28% ในปี 2565 และลดสัดส่วนของธุรกิจ base materials ลงเหลือ 10% จาก 18%
สำหรับแผนการลงทุนในอนาตและในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 65-69) ตั้งงบลงทุนรวมมูลค่า 608 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 3 โครงการดังนี้ 1)โครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง 3 ล้านเหรียญ หรือประมาณ,96 ล้านบาท,โครงการพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง 7 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 224 ล้านบาท,โครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 จำนวน 115 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 3,695 ล้านบาท,2)โครงการอื่นๆ อาทิ โครงการเกี่ยวกับไอที & ดิจิทัล โครงการปรับปรุงอาคารสำนักงาน เป็นต้น จำนวน 297 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 9,545 ล้านบาท และ 3)โครงการของกลุ่มบริษัท Allnex Holding GmbH จำนวน 187 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 6,009 ล้านบาท
อย่างไรตามในส่วนของการการพัฒนารถยนต์ EV ไม่กระทบธุรกิจเนื่องบริษัทมีส่วนการทำโพลิเมอร์ ซึ่งจะเกี่ยวข้องในการพัฒนาในด้านตัวรถ เพราะเป็นที่ทราบดีว่ารถยนต์ EV จะมีน้ำหนักเบา ซึ่งบริษัทจะหาโอกาสที่เข้าลงทุนได้
ส่วนราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นบริษัทไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากได้ป้องกันความเสี่ยงเอาไว้ เพื่อลดผลกระทบ และที่สำคัญบริษัทดำเนินธุรกิจพอร์ตโดยรวมส่วนใหญ่เป็นปิโตรเคมี และเพิ่มสัดส่วนในการทำธุรกิจปลายน้ำผันผวนน้อยและมีมาร์จิ้นดีขึ้น เพื่อให้บริษัทเติบโตมั่นคงและยั่งยืน