โบรกฯแนะเลี่ยง 17 หุ้นเสี่ยงรูดหนัก! กระทบสุด “อิเล็กฯ” เซ่นวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนตึงเครียด

โบรกฯแนะเลี่ยง 17 หุ้นเสี่ยงรูดหนัก! กระทบสุดกลุ่มอิเล็กฯ เซ่นวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนตึงเครียด หลังจาก “ปูติน” ประกาศรับรองเอกราช 2 แคว้นกบฏยูเครน


บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(22 ก.พ.65) ว่า รัสเซียประกาศรับรองเอกราช 2 แคว้นกบฎยูเครน คืนวันจันทร์ที่ผ่านมา (21/02/22) ประธานาธิบดี ปูติน สั่งเคลื่อนพลเข้าตัวเมือง Donetsk และ Luhansk ทางตะวันออกจองยูเครน และจะประกาศให้ 2 เมืองดังกล่าวเป็นอิสระ จากยูเครน รวมถึงยังกล่าวว่า NATO และ US เป็นภัยคุกความต่อความมั่นคง ของรัสเซีย โดยมองว่าหาก NATO ยอมรับยูเครน เข้าเป็นสมาชิกก็จะนําไปสู่ การจัดตั้งกองกําลังใบเดนของยูเครน ซึ่งอาจจะเป็นภัยต่อรัสเซียในอนาคตได้

สถานการณ์ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น สถานการณ์ปัจจุบันทางฝั่งจอง EU เตรียมประกาศ sanction รัสเซีย ขณะ US ให้ ชาวอเมริกันท่าการค้าและการ ลงทุนรวมถึง ธุรกรรมด้านการบริการ การซื้อจายสินค้าและเทคโนโลยี ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับ Donetsk People’s Republic (DPR) และ Luhansk People’s Republic (LPR)

อีกทั้งยังเชื่อว่าทางรัสเซียจะเข้าโจมตียูเครนในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ในคืนที่ผ่านมาทางฝั่งของรัสเซียได้ประกาศการโจมตีรถถังของยูเครนทำให้มีทหารยูเครนเสียชีวิตไป 5 นาย โดยอ้างว่าเป็นการบุกรุกเข้ามาในเขตดิน แดงของรัสเซีย ขณะที่ทางยูเครนออกมายืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ เกิดขึ้นไม่มีการยิงและเสียชีวิตจากฝรั่งยูเครน

ส่งผลให้ตลาดหุ้นอเมริกา Future ปัจจุบันปรับตัวลง ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น จากประเด็นดังกล่าวทำให้เมื่อวานนี้(21ก.พ.65)ตลาดหุ้น US ได้ปรับตัวลง โดย Dow Jones (-0.55%), S&P (-0.55 %) a: Nasdaq (-0.6%) ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent ได้ปรับสูงขึ้นเป็น 95.4 เหรียญ/บาร์เรล  (+2.0%) แลทำให้ราคาน้ำมันดิบ Brent YTD อยู่ที่  88.4 เหรียญ/บาร์เรล   เทียบกับค่าเฉลี่ย 70.5 เหรียญ/บาร์เรล  ในปี 2564

ทั้งนี้มีมุมมองเป็นลบต่อตลาดหุ้นไทย โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับ ผลกระทบเชิงลบจากความไม่แน่นอนของความขัดแย้งดังกล่าว โดยมองว่า หุ้นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบมากสุดจะเป็นกลุ่ม Electronic จากความ กังวลด้าน supply chain disruption และเงินเฟ้อหากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น 

ทั้งนี้แนะนําหลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นกลุ่ม electronic ในช่วงนี้ไปก่อน โดยคาดว่าหุ้นที่จะได้รับผลกระทบมากสุด (เรียงจากมากไปน้อย) คือ 1.KCE (ชื้อ เป้า 80.00 บาท 2.HANA (ซื้อ/เป้า 105.00 บาท) 3.DELTA (NR) 4.HTECH (ชื้อ/เป้า 9.50 บาท) รวมถึงจะมีหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ ปรับตัวสูงขึ้น รายละเอียดดังนี้

โดย Sector ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบเรียงตามลำดับ ได้แก่

1)กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ Electronic (KCE,HANA,DELTA,HTECH): ได้รับผลกระทบจาก supply chain disruption และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นกระทบเงินเฟ้อ และ เร่งการขึ้นดอกเบี้ยจอง FED ซึ่งจะส่งผลเชิงลบต่อราคาหุ้น 

2) กลุ่มสายการบิน (AAV,BA) จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ามันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจคิดเป็นประมาณ 20-30% จากรายได้รวม

3.)กลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC, BGRIM) : กระทบจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า SPP กว่า 70% มาจากก๊าซธรรมาชาซึ่งลิ้งค์กับราคาน้ำมัน โดยต้นทุน บางส่วน (ลูกค้า IU) ไม่สามารถส่งผ่านได้

4.) กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ Automotive (SAT, AH, STANLY): อาจได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการขาดแคลนชิป แต่ไทยจะกระทบไม่มาก เนื่องจาก supply chain ส่วนใหญ่มาจากเอเชีย

5) บริการรับเหมาก่อสร้าง  Construction Services (CK,PYLON,RT,SEAFCO,STEC): ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเชื้อเพลิงคิดเป็นราว 8% ของต้นทุนรวม

Back to top button