JR ลุ้นกำไรปี 65 โตต่อ 362 ลบ. ลุยประมูลงานใหม่ดัน “แบ็กล็อก” ครึ่งปีแรกทะลุ 1 หมื่นลบ.

JR ลุ้นกำไรปี 65 โตต่อ 362 ลบ. ลุยประมูลงานใหม่ดัน "แบ็กล็อก" ครึ่งปีแรกทะลุ 1 หมื่นลบ. แนะซื้อเคาะเป้า 10 บาท


บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(22 ก.พ.65) ว่า บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JR ประกาศกำไรปกติไตรมาส 4/2564 ที่ 38 ล้านบาท 30.66% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, โต 55.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย 5%

โดยแม้รายได้จะยังทรงตัวได้แข็งแรงเทียบไตรมาสก่อนหน้า แต่หากดูย่อยลงไปในรายละเอียดรายได้จากการให้บริการชะลอตัวลงเนื่องจากยังมีปัญหางานล่าช้าจาก ผู้รับเหมาท่อไฟฟ้าหลัก (Main Duct) ที่มีปัญหาเรื่องแรงงาน แต่ยังมีรายได้จากการ ขายสินค้าเข้ามาช่วยประคอง

อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวทำให้ Gross Margin ที่หด ตัวอย่างมีนัยยะเหลือเพียง 13.7% ในไตรมาสนี้จาก 17.3% ในไตรมาสก่อนหน้า ทั้งจาก Margin งานขายสินค้าที่ต่ำกว่างานบริการ รวมถึงมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและการ จ่ายโบนัสพนักงาน ส่งผลให้จบปี 2564 มีกำไรปกติ 217 ล้านบาท  โต 146.2% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยคาดว่าผลการดาเนินงานของ JR ได้ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 4/2564 และจะเริ่มทยอยฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 1/2565 เป็นต้นไปจากปัญหาผู้รับเหมาท่อไฟฟ้าหลักที่เริ่มคลี่คลายในทิศทางดีขึ้น ทาให้งานของ JR สามารถเดินหน้า ประกอบกับปัจจุบัน Backlog ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 4,657 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ในปี 2565 ราว 2,200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 70% ของประมาณการทั้งปีของเราที่คาด 3,121 ล้านบาท โต 47.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งค่อนข้าง Aggressive กว่าเป้าของบริษัทที่ 15-20% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ค่อนข้างมาก รวมถึงประมาณการกำไรปี 2565 ที่ 362 ล้านบาท โต 65.1% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนทำให้อาจมี Downside อยู่บ้าง

อย่างไรก็ตามเราคาดว่า ในช่วง 2-3 เดือนถัดจากนี้จะเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากงานประมูลใหม่ๆ ที่จะมีพัฒนาการ และคาดมีโอกาสได้งานเพิ่มหนุน Backlog ทะลุ 1 หมื่นล้านบาท ภายในครึ่งแรกปี 2565 โดยเฉพาะโครงการใหญ่คือการเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินตามแนว รถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูเฟสที่ 2 รวมถึงการจับมือกับ Partner ในโครงการ สถานีชาร์จ E-Bus เป็นปัจจัยหนุนการเติบโตระยะยาว

ยังคงราคาเป้าหมายปี 2565 ของ JR ที่ 10 บาท (อิง Target PE ที่ 21 เท่า) ราคาหุ้นปรับลง 13% จากจุดสูงสุดช่วงต้นปี สะท้อนกำไรที่อ่อนแอระยะสั้นไปแล้ว และปัจจุบันลงมาซื้อขายที่ 2022PER ราว 15.4 เท่า ซึ่งไม่แพง ประกอบกับเป็นหุ้นที่ ได้ประโยชน์ระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าเพื่อรองรับ EV Trend จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

Back to top button