ปลัดคลังชี้เฟดคงดอกเบี้ยดีต่อศก.โลก เชื่อศก.ไทยฟื้นตัวตั้งแต่ Q4/58
ปลัด ก.คลังชี้เฟดคงดอกเบี้ยดีต่อศก.โลก เชื่อศก.ไทยฟื้นตัวตั้งแต่ Q4/58 และเด่นชัดใน Q1/59 ส่วนกรณีที่ ธปท.มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดบ.ในปี 59 จากระดับปัจจุบันที่ 1.5% ว่า มีความเป็นไปได้ หากภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้น
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ(FED) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิมที่ 0-0.25% ว่า เป็นสิ่งที่ดีกับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ซึ่งปัจจุบันสหรัฐฯ ยังไม่มีความมั่นใจต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้นการคงอัตราดอกเบี้ยไว้จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมทั้งต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เอง
สำหรับประเทศไทยนั้น หลายฝ่ายต่างคาดการณ์ไว้แล้วว่า FED จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับนี้ และเชื่อว่าจะสามารถรองรับกับความผันผวนของเงินทุนไหลเข้า-ออกได้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และกระทรวงการคลังพร้อมมีเครื่องมือในการดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน
ส่วนกรณีที่ ธปท.มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 59 จากระดับปัจจุบันที่ 1.5% ว่า มีความเป็นไปได้ หากภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4/58 และจะเริ่มขยายตัวได้อย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 1/59 จากการใช้นโยบายงบประมาณขาดดุล ทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่จะช่วยให้การบริโภคในประเทศปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังเป็นตัวช่วยให้การส่งออก ปรับตัวดีขึ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ราคามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นด้วย
ขณะที่การจัดอันดับความยากง่ายในการดำเนินธุรกิจ หรือ Doing Business ของธนาคารโลกที่ไทยถูกปรับลดอันดับมาอยู่ที่ 49 จากปีก่อนที่อยู่ลำดับ 46 นั้น การปรับลดดังกล่าวเกิดจากการปรับเปลี่ยนระบบในการคำนวณ และหลังจากที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เข้ามาทำงานนั้น ได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อดูแลเรื่องดังกล่าว
โดยเฉพาะความพยายามในการแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรค เช่น การขอใบอนุญาตในการจัดตั้งโรงงาน และใบอนุญาตสิ่งแวดล้อมที่มีความยุ่งยาก และการเสียภาษีซ้ำซ้อน ซึ่งหากการแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นไปตามแผนก็เชื่อว่าการประเมินรอบหน้าอันดับของไทยจะปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ ในวันที่ 9 พ.ย.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเชิญรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจทั้งหมดเข้าพบ เพื่อหารือกันในเรื่องดังกล่าวและการหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน ขณะเดียวกัน ยืนยันว่าการปรับลดอันดับของไทยลงในครั้งนี้ จะไม่ส่งผลต่อความเขื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ