TOP ดีดกลับ 4% โบรกอัพเป้า 63.50 บ. คาดกำไรปี 65 แตะ 1.5 หมื่นลบ. รับดีมานด์ฟื้น
TOP เด้ง 4% โบรกอัพเป้า 63.50 บ. ชี้กำไรปีนี้ 1.47 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 17% รับดีมานด์ฟื้นตัวต่อเนื่อง-ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ยังดีทำให้ GRM ยังยืนได้ในระดับสูง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (9 มี.ค.2565) ราคาหุ้นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ณ เวลา 10:57 น. อยู่ที่ระดับ 50.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท หรือ 3.59% โดยทำจุดสูงสุดที่ 51.00 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 49.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 789.38 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (8 มี.ค.2565) โดย EIA คาดอุปสงค์น้ำมันดิบตลาดโลกปี 2565 เพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 100.50 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่อุปทานเพิ่มขึ้น 6 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 101.50 ล้านบาร์เรล ซึ่งการเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำมันจะอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จากการผลิตเพิ่มขึ้นของสหรัฐเป็นหลักซึ่งคาดจะเพิ่มเป็น 12 ล้านบาร์เรล ต่อวันเพิ่มขึ้น 7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนกลุ่มโอเปกการขยายกำลังการผลิตยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ขณะที่อุปสงค์การใช้น้ำมันสำเร็จรูปทั้งแก๊สโซลีนและดีเซลปัจจุบันได้กลับสู่ภาวะปกติก่อนเกิด COVID-19 แล้วหลังการคลายล็อกดาวน์ในประเทศต่างๆ
ขณะที่ในส่วนน้ำมันเครื่องบิน (Jet) คาดจะกลับสู่ภาวะปกติได้ราวครึ่งปีหลัง 2566 ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการที่รัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกที่มีกำลังการผลิตราว 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน และมีการส่งออกราว 5% ของอุปทานน้ำมันในตลาดโลก รวมถึงการผลิตแก๊สธรรมชาติเพื่อส่งออกไปยุโรปด้วย โดยตลาดส่งออกหลักคือจีนและยุโรป คาดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับขึ้นได้จากการที่ยุโรปแบนการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียด้วย
สำหรับแผนการปรับโครงสร้างการเงินของบริษัทฯ นั้นจะทำโดย (1) ขายหุ้น GPSC ที่สัดส่วน 10.78% (304.1 ล้านหุ้น) ให้กับกลุ่ม PTT และ TOP จะรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนและกำไรจากการเปลี่ยนแปลงเงินลงทุนใน GPSC ราว 11,000 ล้านบาทคาดจะรับรู้รายการดังกล่าวในไตรมาส 2/2565 นี้ (2) เพิ่มทุนโดยจัดสรรหุ้นจำนวนสูงสุดที่ 275.12 ล้านหุ้นรวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Green shoe) จำนวน 35.90 ล้านหุ้น แต่การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 239.20 ล้านหุ้นนั้นเป็นการเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 80% และส่วนที่เหลือ 20% จะจัดสรรให้กับนักลงทุนทั่วไป ซึ่งหากพิจารณาจากจำนวนเงินที่ต้องการเพิ่มทุน และจำนวหุ้นที่จะเสนอขายนั้นทางฝ่ายวิจัยคาดอัตราส่วนการเพิ่มทุนสำหรับผู้ถือหุ้นเดิมจะอยู่ที่ราว 8 หุ้น เดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในส่วนราคาเสนอขายนั้นคาดไม่ต่ำกว่า 48-50 บาท/หุ้นและเกิด dilution ราว 12% จากการเพิ่มทุนซึ่งคาดกระบวนการเพิ่มทุนจะแล้วเสร็จภายในปีนี้
ทั้งนี้คาดการดำเนินงานกลุ่มอะโรเมติกส์, กลุ่มน้ำมันหล่อลื่น, โอเลฟินส์คาดจะอ่อนลงตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลงจากอุปทานที่จะเพิ่มขึ้นหลังโรงกลั่นส่วนใหญ่กลับมาผลิตอีกครั้ง รวมถึงการเริ่มทยอยผลิตเพิ่มขึ้นจากความล่าช้าที่เกิดขึ้นจาก COVID-19 ที่เกิดขึ้น ในทางกลับกันคาดธุรกิจในส่วนโรงกลั่นการดำเนินงานจะฟื้นตัวต่อหลังจากเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2564 แล้วจากอุปสงค์การใช้ที่กลับมาก่อน COVID-19 แล้วทั้งในส่วนแก๊สโซลีนและดีเซล ทางฝ่ายวิจัยได้ปรับประมาณการผลการดำเนินงานปี 2565 ขึ้นจากเดิมแม้คาดระยะสั้นจะได้รับผลจากต้นทุน crude premium ที่สูงขึ้น จากอุปทานที่ตึงตัว แต่จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ยังดีทำให้ GRM ยังยืนได้ในระดับสูง ทั้งนี้ทางฝ่ายปรับประมาณการกำไรสุทธิเป็น 14,717 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 17% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ปรับสมมติฐาน GRM เป็น 6.30 เหรียญ/บาร์เรล น้ำมันดิบดูไบ 90 เหรียญ/บาร์เรล
อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยยังมีมุมมองบวกต่อการดำเนินงานกลุ่มโรงกลั่นจากอุปสงค์ฟื้นตัว ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ปรับ ราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 63.50 บาท