IRPC วิ่ง 3% จับตาผลงานไตรมาส 1 โตเด่น รับราคาน้ำมันดิบพุ่ง หนุนสต๊อกเกน
IRPC วิ่ง 3% จับตาผลงานไตรมาส 1 โตเด่น รับราคาน้ำมันดิบพุ่งหนุนสต๊อกเกน ล่าสุดยืนเหนือ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล รวมถึงยังได้ปัจจัยบวกจากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (10 มี.ค. 2565) ราคาหุ้น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ณ เวลา 15:35 น. อยู่ที่ระดับ 3.66 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 2.81% โดยทำจุดสูงสุดที่ 3.68 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 3.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 303 ล้านบาท
นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดไตรมาส 1/2565 มีโอกาสกำไรจากสต็อกน้ำมัน (Stock Gain) เนื่องด้วยราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดยืนเหนือ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลแล้ว และด้วยต้นทุนของราคาน้ำมันใหม่ก็จะส่งผลกระทบต่อราคาผลิตภัณฑ์แนฟทาปรับตัวขึ้นทันที รวมถึงยังได้ปัจจัยบวกจากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นด้วย หลังจากทั่วโลกชะลอการลงทุนไปค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับแนวโน้มของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (Spread) ขณะนี้จะขึ้นอยู่กับผลกระทบของสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนว่าจะขยายตัวออกไปหรือไม่ หากมีผลให้วัตถุดิบตั้งต้น (feedstock) ขาดแคลนก็จะหนุนให้สเปรดปรับตัวขึ้น แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณดังกล่าว
ขณะที่ภาพรวมในปี 2565 บริษัทฯ คาดค่าการกลั่น (GRM) จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 5.91 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากสเปรดของฝั่งปิโตรเลียมดีขึ้นเทียบกับปีก่อน ขณะที่ฝั่งสเปรดปิโตรเคมีมีอาจชะลอตัวลงเล็กน้อยจากซัพพลายที่เข้ามามาก ส่วนภาพรวมทั้งปีจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันหรือไม่ยังคงต้องรอดูสถานการณ์อย่างต่อเนื่องว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีจะสูงหรือต่ำกว่าปีก่อนที่ราคาน้ำมันเฉลี่ย 78 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ด้านกำลังการกลั่นของปีนี้ คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 1.80-1.85 แสนบาร์เรล/วัน จากปีก่อนอยู่ที่ 1.92 แสนบาร์เรล/วัน เนื่องจากบริษัทฯ มีกำหนดปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.2565 เป็นระยะเวลา 1 เดือน ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตในไตรมาส 4/2565 ลดลงมาเหลือ 1.40 แสนบาร์เรล/วัน
อย่างไรก็ดีในช่วง 5 ปี (2565-2569) บริษัทฯ ได้ตั้งงบลงทุนตามแผนธุรกิจวงเงินรวม 41,350 ล้านบาท แบ่งเป็น การซื้อกิจการ (M&A) ราว 14,000 ล้านบาท, โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซล ตามมาตรฐานยูโร 5 (Ultra Clean Fuel Project: UCF) ราว 10,000 ล้านบาท และการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในปีนี้ 2,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้สำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นปีละ 2,000 ล้านบาท
สำหรับงบลงทุนปี 2565 จะอยู่ที่ราว 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ใช้ในโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซล ตามมาตรฐานยูโร 5 (Ultra Clean Fuel Project: UCF) ราว 6,000 ล้านบาท และการซื้อกิจการ (M&A) ราว 9,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างการเจรจาหลายราย ขึ้นกับว่าจะได้ข้อสรุปหรือไม่ รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นปีนี้รวมราว 4,000 ล้านบาท
ทั้งนี้จากการลงทุนดังกล่าวบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจะมีกำไรก่อนหักภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตแตะ 25,000 ล้านบาทในปี 2568 และเพิ่มเป็น 35,000 ล้านบาทในปี 2573 หรือจะมี EBITDA เพิ่มขึ้นปีละ 1,500-1,800 ล้านบาท
ด้านความคืบหน้าของโครงการ UCF ยังเดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ โดยโครงการนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันจากแนวโน้มความต้องการที่สูงขึ้นของน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำ (Low Sulfur Diesel) ทั้งภายในประเทศและกลุ่มประเทศในอาเซียน (AEC) และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดปัญหามลภาวะฝุ่นละออง PM 2.5 ตอบสนองนโยบายของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นสู่การเป็นโรงงานสีเขียว (Eco Factory) ที่ทันสมัย ปัจจุบันโครงการอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/2567
ส่วนโครงการผลิตผ้าไม่ถักไม่ทอ (Non-woven Fabric) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำคัญสำหรับผ้าชั้นกรองหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ และแผ่นกรองอากาศ ที่บริษัทฯ ถือหุ้น 60% ในการร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด จะสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2/65 เพื่อช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ และยกระดับด้านสาธารณสุข และอุปกรณ์ทางการแพทย์ของประเทศไทย
นอกจากนี้ IRPC ยังตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ลง 20% ในปี 73 พร้อมมุ่งสู่องค์กร Net Zero Emission โดยจะเพิ่มประสิทธิภาพจากการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เช่น การขยายโครงการ Floating Solar และโครงการ Solar Farm ในเขตประกอบการอุตสาหกรรมไออาร์พีซี จังหวัดระยอง การวิจัยและพัฒนาวัสดุเคลือบแผง Solar Cell เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า และส่วนประกอบอุปกรณ์เก็บพลังงานสำรองให้รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น