ดาวโจนส์ปิดลบ ตลาดวิตกจีดีพีสหรัฐฯชะลอตัว
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (29 ต.ค.) หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เบื้องต้นสำหรับไตรมาส 3 ขยายตัวน้อยกว่าการคาดการณ์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่นักลงทุนเริ่มวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากที่เฟดได้ส่งสัญญาณดังกล่าวในการประชุมครั้งล่าสุด
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิด (29 ต.ค.) ที่ 17,755.80 จุด ลดลง 23.72 จุด หรือ -0.13%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,074.27 จุด ลดลง 21.42 จุด หรือ -0.42% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,089.41 จุด ลดลง 0.94 จุด หรือ -0.04%
ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงตั้งแต่ตลาดเปิดทำการ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า จีดีพีเบื้องต้นสำหรับไตรมาส 3 ของปีนี้ ขยายตัว 1.5% เมื่อเทียบรายไตรมาส โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 1.6% และต่ำกว่าระดับ 3.9% ในไตรมาส 2
ขณะเดียวกันตลาดได้รับแรงกดดันจากข้อมูลที่ซบเซาด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ร่วงลง 2.3% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 106.8 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นอันดับ 2 ของปีนี้ และเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากการที่นักลงทุนเริ่มวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังจากที่เฟดได้ส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมปรับตัวสูงขึ้น และอาจสร้างแรงกดดันต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง โดยหุ้นเอ็นเอ็กซ์พี เซมิคอนดัคเตอร์ ดิ่งลงเกือบ 20% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาส 4 ปีนี้ ขณะที่หุ้นเอวาโก เทคโนโลยีส์ ร่วงลง 5.5%, หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลง โดยหุ้นนิวยอร์ก คอมมูนิตี้ แบงก์คอร์ป ร่วงลง 12% และหุ้นแอสโทเรีย ไฟแนนเชียล คอร์ป ดิ่งลง 7.7% หลังจากมีรายงานว่านิวยอร์ก คอมมูนิตี้ แบงก์คอร์ป ตกลงซื้อกิจการแอสโทเรีย ไฟแนนเชียล คอร์ป มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่มธุรกิจสร้างบ้านร่วงลงหลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่ร่วงลงอย่างหนักในเดือนก.ย. โดยหุ้นเลนนาร์ คอร์ป และหุ้นดีอาร์ ฮอร์ตัน ต่างก็ร่วงลงกว่า 3.7% และหุ้นเมริเทจ โฮมส์ ดิ่งลง 9.7% อย่างไรก็ตาม หุ้นไทม์ วอร์เนอร์ เคเบิล พุ่งขึ้น 3.55% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สดใสในไตรมาส 3
ขณะที่นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในคืนนี้ตามเวลาไทย รวมถึงข้อมูลรายได้-การบริโภคส่วนบุคคลเดือนก.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนต.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน