BKD ดีดแรง 14% ลุ้นผลงานปีนี้โตต่อเนื่อง หลังตุนแบ็คล็อก 1.5 พันลบ.
BKD ดีดแรง 14% ลุ้นผลงานปีนี้โตต่อเนื่อง หลังตุนแบ็คล็อก 1.5 พันลบ. รับปรับกลยุทธ์หันไปจับกลุ่มลูกค้าบ้านเศรษฐีที่มีกำลังซื้อสูง หนุนรายได้เพิ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (16 มี.ค. 2565) ราคาหุ้น บริษัท บางกอก เดค-คอน จำกัด (มหาชน) หรือ BKD ปิดภาคเช้า อยู่ที่ระดับ 2.66 บาท เพิ่มขึ้น 0.34 บาท หรือ 14.66% โดยทำจุดสูงสุดที่ 2.76 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 2.34 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 28.83 ล้านบาท
นางนุชนารถ รัตนสุวรรณชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BKD เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมกลับมาลุยธุรกิจเต็มรูปแบบในปี 2565 ทั้งในส่วนของลูกค้าโครงการภาครัฐและเอกชน รวมทั้งกลุ่มลูกค้าบ้านเศรษฐี หลังจากที่สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 มีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยล่าสุดบริษัทฯ มีมูลค่างานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) แล้วราว 1.5 พันล้านบาท
ทั้งนี้ภายหลังจากที่บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์หันไปจับกลุ่มลูกค้าบ้านเศรษฐีที่มีกำลังซื้อสูง ปรากฏว่ากระแสตอบรับดีเกินคาด ทำให้เห็นโอกาสการเติบโตที่ชัดเจน และบริษัทฯ มีแนวคิดที่จะปั้นแบรนด์ใหม่ที่จับตลาดบ้านเศรษฐีโดยเฉพาะ ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นดำเนินการจดลิขสิทธิ์ คาดว่าจะเปิดตัวได้ภายในไตรมาส 1/2565 หลังจากได้ส่งมอบงานตกแต่งเพ้นท์เฮ้าส์สุดหรูมูลค่า 200 ล้านบาทไปแล้ว และปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจางานอีกกว่า 10 ราย
“BKD ยังมีงานรอรับรู้รายได้กว่า 1.5 พันล้านบาท และยังไปจับตลาดที่อยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีโอกาสเติบโตสูงมาก กระแสตอบรับดีเกินคาด ล่าสุดบริษัทได้รับชำระเงินค่าขายหุ้นน้ำประปาจากบริษัท เซเว่น ยูทิลิตี้ส์ แอนด์พาวเวอร์ จนครบถ้วน 550 ล้านบาทแล้ว ทำให้มั่นใจว่าปี 2565 บริษัทฯ จะโตต่อเนื่องหหลังจากปี 2564 พลิกกลับมามีกำไร 92.43 ล้านบาท ” นางนุชนารถ กล่าว
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ คาดหวังว่าภาครัฐจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากโครงการลงทุนต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน หลังสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลาย โดยในส่วนของ BKD แม้จะได้รับผลกระทบดังกล่าว แต่การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ยังคงเดินต่อไปได้โดยไม่มีการปลดพนักงาน เพราะยังมีรายได้ที่รอการรับรู้เข้ามาในอนาคต ส่งผลให้พนักงานมีงานทำได้อย่างต่อเนื่องจนถึงปีหน้า ประกอบกับฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีเงินสดมากพอที่จะรองรับการดำเนินธุรกิจในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด โดยมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนน้อยมากแค่ 0.2 เท่า ซึ่งหนี้สินส่วนใหญ่จะเป็นการค้า และหากสถานการณ์ต่างๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ บริษัทฯ ก็พร้อมที่จะรับงานตกแต่งได้ทัน