JCK พุ่งแรง 17% หลังผนึกกลุ่มCP-กองทุนตปท. พัฒนานิคมฯ รับรู้รายได้ขายที่ดินทันที 2 พันลบ.

JCK พุ่งแรง 17% หลังผนึกกลุ่มซีพี-กองทุนตปท. ร่วมพัฒนานิคมฯทีเอฟดีเฟส 2 หวังดึงดูดนักลงทุนจีน รับรู้รายได้จากการขายที่ดินกว่า 400 ไร่ได้ทันทีกว่า 2 พันลบ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 มี.ค. 2565) ราคาหุ้น บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JCK ณ เวลา 11:26 น. อยู่ที่ระดับ 0.90 บาท บวกไป 0.13 บาท หรือขึ้นไป 16.88% โดยทำจุดสูงสุดที่ 0.94 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 0.77 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 113.29 ล้านบาท

โดยราคาหุ้นบนกระดานของ JCK ปรับตัวขึ้น ส่วนหนึ่งรับข่าวบวกจากประเด็นที่ทางผู้บริหารอย่าง นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร JCK เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค.2565 บริษัทได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงกับ บริษัท ซีพี แอสเซท ไวส์ โฮลดิ้ง จำกัด (CPAW) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มซีพี และกองทุนต่างประเทศเพื่อแสดงความประสงค์จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อลงทุนและพัฒนาที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2 เนื้อที่กว่า 400 ไร่ โดยต้องผ่านการตรวจสอบประเมินผลทรัพย์สิน (Due Diligence) และได้อนุมัติจากคู่สัญญาทุกฝ่าย

ทั้งนี้ ทุกฝ่ายได้เล็งเห็นศักยภาพในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2 เนื่องจากเป็นที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ที่อยู่ใกล้กรุงเทพมหานครมากที่สุด โดยนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2 อยู่ที่ริมถนนมอเตอร์เวย์กรุงเทพ-ชลบุรี กม.43 ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง จึงมีทำเลเหมาะสม สะดวกต่อการคมนาคมทั้งทางบก ทางเรือและทางอากาศ

โดยในการร่วมลงทุนครั้งนี้ถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการดำเนินธุรกิจของ JCK เพราะจะสามารถรับรู้รายได้จากการขายที่ดินกว่า 400 ไร่ได้ทันทีกว่า 2,000 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทร่วมทุนจะนำที่ดินที่ได้มาส่วนหนึ่งขายให้แก่นักลงทุนต่างชาติที่ CPAWและกองทุนต่างประเทศจะชักนำมาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2 เนื่องจาก CPAW และกองทุนต่างชาติมีความแข็งแกร่งในตลาดประเทศจีน ไต้หวัน ญี่ปุ่นรวมทั้งในกลุ่มทางยุโรป โดยจะมุ่งเน้นในลูกค้ากลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็คทรอนิกส์ให้เข้ามาประกอบกิจการในนิคม

นอกจากนี้ยังมีแผนนำที่ดินส่วนที่เหลือไปก่อสร้างโรงงานให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเช่าพื้นที่ โดยจะสร้างโรงงานตามความต้องการของลูกค้าเพื่อที่ลูกค้าจะสามารถเข้ามาประกอบกิจการได้ทันที ซึ่งคาดว่าบริษัทร่วมทุนจะสามารถสร้างยอดขายที่ดินในปีแรกได้ไม่ต่ำกว่า 100 ไร่ ส่วนโรงงานให้เช่ามีแผนจะสร้างไม่ต่ำกว่า 150,000 ตารางเมตร เพื่อให้เช่าและขายเข้ากอง REIT ต่อไป คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ที่ดีให้แก่บริษัทร่วมทุนเมื่อจบโครงการ

ขณะนี้ JCK กำลังเตรียมขยายพื้นที่เพิ่มเติมอีกประมาณ 1,000 ไร่เศษสำหรับโครงการนิคมอุตสาหกรรม ทีเอฟดี เฟส 3 โดยจะเริ่มทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือ EIA ภายในไตรมาส 2/2565 เพื่อพัฒนาให้เป็นพื้นที่พร้อมขายได้ประมาณปี 2566-67 โดยได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาในการทำรายงาน EIA ให้เข้ามาเริ่มดำเนินการแล้ว

ส่วนของนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดีเฟส 3 นี้บริษัทจะขยายธุรกิจให้ครบวงจรมากขึ้นในเรื่องของการให้บริการในระบบสาธารณูปโภคไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของน้ำประปาหรือไฟฟ้า เพื่อรองรับการขยายตัวของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม โดยบริษัทมีแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นในพื้นที่เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี ซึ่งจะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทอีกทางหนึ่ง

Back to top button