EA วิ่ง 5% นลท. เชื่อมั่น “สมาร์ทบัส” ต่อยอดธุรกิจ โบรกคาดกำไรปีนี้โต 30%

EA วิ่ง 5% หลังส่งบ.ลูกเข้าซื้อหุ้น “สมาร์ทบัส” ในสัดส่วน 99.99% ต่อยอดธุรกิจ โบรกคาดกำไรปีนี้โต 30% ส่วนรายได้เพิ่มขึ้น 26%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (22 มี.ค. 2565) ราคาหุ้นบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ณ เวลา 15:02 น. อยู่ที่ระดับ 94.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.25 บาท หรือ 4.74% โดยทำจุดสูงสุดที่ 94.75 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 89.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.37 พันล้านบาท

โดยบริษัทฯ ได้ส่งบริษัท อีทรานสปอร์ต โฮลดิง จำกัด (ETH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้เข้าซื้อหุ้นสามัญ 99.99% ในบริษัท สมาร์ทบัส จำกัด (SMB) จาก บริษัท เกคโค่ โฮลดิ้ง จำกัด (ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใน SMB 99.99%) และจากผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ ทำให้ภายหลังการซื้อหุ้นสามัญดังกล่าว ETH จึงเป็นผู้ถือรายใหญ่ถือหุ้นสามัญใน SMB จำนวน 9,999,998 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท คิดเป็นสัดส่วน 99.99% ของหุ้นทั้งหมด เพื่อขยายและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มบริษัทฯ

ทั้งนี้ SMB ได้เสร็จสิ้นการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในวันที่ 18 มีนาคม 2565 ดังนั้น SMB และบริษัทย่อยของ SMB จะถือเป็นบริษัทย่อยของ ETH ในวันดังกล่าว

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ทางบริษัทฯ คงเป้าส่งมอบรถ E-Bus ราว 1,500 คัน จากปีก่อนที่ส่งมอบ 117 คัน โดยล่าสุดมียอดคำสั่งซื้อในมือแล้ว 500 คัน ส่วนที่เหลือจะมาจากการทำแผนการตลาดอีกครั้งปลายไตรมาส 1/2565 โดยยังมุ่งตลาดรถบัสเพื่อการพาณิชย์ อาศัยความได้เปรียบการใช้ E-BUS จากการประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิงจากการชาร์จเร็ววิ่งได้ไกล

ขณะที่ลูกค้าเป้าหมายหลักเป็นลูกค้าอุตสาหกรรมเห็นผลดีรายจ่ายการทำธุรกิจลดลงในเวลาเดียวกัน ซึ่งทางบริษัทฯ จะรุกตลาดรถ E-Truck เจาะอุตสาหกรรมขนส่ง ซึ่งมีศักยภาพดีและเห็นประโยชน์การใช้รถ EV ในการลดต้นทุนเช่นกัน ทำให้ทางบริษัทฯ มั่นใจว่าจะส่งมอบรถได้ 1,500 คัน ในเวลาเดียวกัน ด้านสายการผลิตไปได้ดี ล่าสุดโรงแบตเตอรี่ 1 Ghw เริ่มทดลองผลิตแล้ว คาดว่าจะนำไปประกอบรถที่ส่งมอบปีนี้ด้วย ส่วนโรงประกอบรถพร้อมแล้วสำหรับการประกอบรถ 1 กะ 3 พัน คันต่อวัน ทำให้การผลิตทำได้แน่นอนต่อเป้าส่งมอบดังกล่าว

สำหรับแนวโน้มกำไรยังแข็งแกร่งเนื่องจากไม่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่และการใช้กำลังการผลิตคงที่จากปีก่อน แต่ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอุปกรณ์การรับแสงทำให้ผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นหนุนการทำกำไรของส่วนธุรกิจไฟฟ้าหมุนเวียน เติบโตเล็กน้อย ขณะที่ไบโอดีเซล ยังเหนื่อยในสถานการณ์ปัจจุบันแต่สัดส่วนกำไรน้อยมาก ดังนั้นธุรกิจ EV จะเป็นหนุนกำไรปีนี้ได้แน่นอน

โดยทางฝ่ายวิจัยคาดการส่งมอบราว 900 คันในปีนี้ และปีหน้า 1,200 คัน จากปี 2564 ที่ 117 คัน แม้ GPM ที่ผ่านมาธุรกิจไฟฟ้าหมุนเวียนดีกว่าธุรกิจ EV (70% เทียบ 23%) แต่ช่วงแรกของการส่งมอบในปี 2564 มีรายจ่ายเริ่มต้นธุรกิจ EV มาก ซึ่งจะลดลงตามการส่งมอบรถที่มากขึ้นในปี 2565-2566 ซึ่งทางฝ่ายวิจัยคาด GPM-EV ปี 2565 อยู่ที่ราว 28% ส่วนปี 2566 อยู่ที่ราว 30% เทียบ GPM โรงไฟฟ้า 70% โดยทางฝ่ายวิจัยคาดรายได้ปี 2565 เพิ่มขึ้น 26% ส่วนรายได้ปี 2566 เพิ่มขึ้น 7% แม้ EBITDA Margin อ่อนลงจากปี 2564 ที่ 50% เป็น 47% และ 45% สำหรับปี 2565 และ 2566 จากความแตกต่างของ Margin ธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจ EV แต่ภาระการลงทุนที่น้อยลงหลังธุรกิจ EV เดินหน้า รายจ่ายดอกเบี้ยจะลดลง ซึ่งจะช่วยหนุนกำไรปี 2565 เติบโต 30% ส่วนกำไรปี 2566 เติบโต 8%

Back to top button