CHAYO เด้ง 3% โบรกชี้กำไร Q1 เด่น หนุนทั้งปีโต 147% แตะ 540 ลบ. อัพเป้า 17.70 บ.
CHAYO เด้ง 3% โบรกชี้กำไร Q1 เด่น อานิสงส์ยอดจัดเก็บที่ปรับตัวดีขึ้นหลังมีการเปิดเมืองและการให้บริการเร่งรัดหนี้สินคาดปรับตัวดีขึ้น ดันทั้งปีโต 147% แตะ 540 ลบ. อัพเป้า 17.70 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (8 เม.ย. 2565) ราคาหุ้นบริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ปิดภาคเช้า อยู่ที่ระดับ 12.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือ 3.28% โดยทำจุดสูงสุดที่ 12.80 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 12.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 56.81 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (7 เม.ย.2565) โดยคาดกำไรไตรมาส 1/2565 จะอยู่ที่ 68 ล้านบาท ดีขึ้น 39% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยในแง่ของรายได้จากการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพคาดปรับตัวดีขึ้นราว 5% จากไตรมาสก่อน จากยอดจัดเก็บที่ปรับตัวดีขึ้นหลังมีการเปิดเมือง ขณะที่รายได้จากการให้บริการเร่งรัดหนี้สินคาดปรับตัวดีขึ้นราว 21% จากไตรมาสก่อน โดยสถาบันการเงินอาจนำหนี้ด้อยคุณภาพมาให้ติดตามมากขึ้นหลังหมดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้
ด้านรายได้ดอกเบี้ยจากการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลคาดปรับตัวดีขึ้นถึง 101 จากไตรมาสก่อน โดยคาดสินเชื่อจะเติบโตราว 13% จากไตรมาสก่อน แต่รายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการรับรู้รายได้จากฐานสินเชื่อ ณ สิ้นปี 2564 ได้เต็มไตรมาส นอกจากนี้ยังคาดจะมีการขาย NPA ได้บางแปลง โดยคาดจะรับรู้กำไรจากการขาย NPA เข้ามาราว 24 ล้านบาท
สำหรับเมื่อวันที่ 29 มี.ค.2565 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รายงานตลาดเรื่องการขายหลักประกันของ NPL ในจังหวัดพังงาผ่านกรมบังคับคดีมูลค่า 900.8 ล้านบาท ซึ่งคาดจะมีกำไรจากการขายราว 300 ล้านบาท บันทึกเข้ามาในช่วงไตรมาส 2/2565 หรือช่วงไตรมาส 3/2565 ทางฝ่ายวิจัยจึงปรับประมาณการกำไรปี 2565 ขึ้น 89% จากประมาณการก่อนหน้ามาอยู่ที่ 540 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 147% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยคาดยอดจัดเก็บในปี 2565 ปรับตัวดีขึ้นหลังมีการเปิดเมือง
ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยจากการปล่อยสินเชื่อคาดจะเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันกำไร หลังคาดสินเชื่อปี 2565 เติบโตสูงมาอยู่ที่ราว 800 ล้านบาท หรือเติบโต 236% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ด้าน CHAYO JV ได้ซื้อหนี้มาราว 200 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มรับรรายได้ในปีนี้ด้วยเช่นกัน แต่ในส่วนของการ JV กับสถาบันการเงินคาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยได้ปรับราคาเป้าหมายใหม่ที่ 17.70 บาท จากเดิมที่ให้ไว้ 16.38 บาท อิง PBV ที่ 4.25 เท่า คงคำแนะนำ “ซื้อ”