“กลุ่มเจมาร์ท” บวกคึก! โบรกชู JMT บริหารหนี้โตเด่น ดันกำไรปีนี้นิวไฮ เคาะเป้า 103 บ.
“กลุ่มเจมาร์ท” บวกยกทีม! โบรกชู JMT ท็อปพิก ธุรกิจ “AMC” คาดปี 65 กำไรนิวไฮ 2.23 พันลบ. โต 66% เล็ง JV แบงก์เพิ่มเสริมหนี้ในพอร์ต แนะนำราคาเป้าหมาย 103 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (12 เม.ย. 2565) ณ เวลา 10:38 น. พบว่า บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 84.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.75 บาท หรือ 5.96% โดยทำจุดสูงสุดที่ 85 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 79.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 893.18 ล้านบาท
บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 4.84 บาท เพิ่มขึ้น 0.24 บาท หรือ 5.22% โดยทำจุดสูงสุดที่ 4.86 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 4.58บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 39.50 ล้านบาท
บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 55.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 2.76% โดยทำจุดสูงสุดที่ 56 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 54 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 83.51 ล้านบาท
บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 62.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 2.46% โดยทำจุดสูงสุดที่ 62.75 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 60.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 441.26 ล้านบาท
บล.เมย์แบงก์ ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ยังคงเลือก JMT เป็น Top Pick สำหรับกลุ่มบริหารหนี้ฯ (AMC) ที่มีการเติบโตโดดเด่น หลังประเมินช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 เป็นฐานการเติบโตของปีนี้ คาดกำไรอยู่ที่ 430 ล้านบาท ลดลง 10% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 52% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นจุดต่ำสุดของปีก่อนจะขยายตัวจากไตรมาสก่อน ตามพอร์ตหนี้ฯ เก่า-ใหม่
อีกทั้งในช่วงครึ่งปีแรก 2565 มีการร่วมทุน-รับรู้รายได้การ JV กับธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ซึ่งจากข้อมูลงบการเงิน ณ สิ้นปีที่ผ่านมา KBANK มี NPL คิดเป็นมูลหนี้ราว 1 แสนล้านบาท โดยยังไม่รวมหนี้ที่ถูกกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SML หรือ Stage 1-2) ที่อาจไหลมาเป็น NPL อีกเกือบเท่าตัว ตามที่ S&P Ratings ประเมินการเร่งโอนหนี้เสียเข้า JV จะเป็นรูปแบบที่ win-win ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไตรมาส 2/2565 และรับรู้กำไรในไตรมาส 3/2565 ที่พร้อมจะทำ All Time High
นอกจากนี้ประเมินทุกเงินลงทุนใน JV 10,000 ล้านบาท จะสร้าง Upside Risk ต่อกำไรตามสัดส่วน (50%) ราว 225 ล้านบาท/ปี หรือ เพิ่มขึ้น 7% บนฐานกำไรปี 2566 ทั้งนี้หากโมเดลข้างต้นสำเร็จ อาจเห็นการใช้โมเดลนี้ร่วมกับธนาคารพาณิชย์อื่นในครึ่งปีหลัง 2565 ที่อยู่นอกเหนือประมาณการ
โดยประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 103 บาท/หุ้น อิง 40 เท่า ในปี 2566 บนกำไรเติบโตเฉลี่ย 3 ปี (2564-2566) เพิ่มขึ้น 43% ต่อปี เนื่องจากคาดกำไรสุทธิปี 2565 เท่ากับ 2,324 เพิ่มขึ้น 66% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และปี 2566 จะอยู่ที่ 3,465 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาอยู่บน P/E ปี2565 ที่ 40 เท่า แต่ภาพของหุ้นยังอยู่ใน Growth Stage รวมถึงความสม่ำเสมอของกระแสเงินสดจากฐานลูกหนี้ที่ทนทานต่อปัจจัยลบภายนอก ทำให้ราคาจะสามารถยืนสูงได้ต่อ