SHR ดีด 4% โบรกชี้ปี 65 พลิกกำไร 89 ลบ. ชูเป้า 5.54 บ. อัพไซด์ 30%
SHR เด้ง 4% โบรกชี้ Q1 ขาดทุนลดลง มอง Q2 ฟื้นตัว อานิสงส์เปิดประเทศ-โรงแรมตปท.ฟื้นตัวดี รับไฮซีซั่น คาดดันปีนี้พลิกกำไร 89 ลบ. ชูเป้าสูง 5.54 บ. อัพไซด์ 30%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (6 พ.ค. 2565) ราคาหุ้นบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ณ เวลา 10:39 น. อยู่ที่ระดับ 4.26 บาท เพิ่มขึ้น 0.16 บาท หรือ 3.90% โดยทำจุดสูงสุดที่ 4.38 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 4.06 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 97.15 ล้านบาท สำหรับอัพไซด์มาจากการนำราคาหุ้น ณ ปัจจุบันมาคำนวณกับราคาเป้าหมายที่ทางฝ่ายวิจัยได้ให้ไว้ จึงมีอัพไซด์ อยู่ที่ 30.04%
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า หุ้นท่องเที่ยว โรงแรมยังได้กระแสบวกจากการเปิดประเทศ และจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid ลดลง โดย SHR ยังมี Upside เทียบกับ ราคาเป้าหมายสูงที่สุดในกลุ่มราว 26.90% แนะนำราคาเป้าหมาย 5.54 บาท
ขณะเดียวกันบล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2565 จะขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 189 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2564 ที่ขาดทุนสุทธิที่ 311 ล้านบาท โดยขาดทุนลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะ UK และมัลดีฟส์กลับมาเปิดประเทศเต็มรูปแบบแล้ว อีกทั้งไทย (Self-managed hotel) เริ่มเห็นการฟื้นตัวได้ดีหลังจากที่มีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ นอกจากนี้ยังสามารถคุมค่าใช้จ่ายในการขายได้ดี
โดยทางฝ่ายวิจัยได้การปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 2565-2566 เพิ่มขึ้น 11-26% เพราะเห็นการฟื้นตัวของ UK และไทยมีโอกาสทำได้ดีกว่าคาดจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะที่ไทยที่จะผ่อนคลายการท่องเที่ยวมากขึ้นโดยอยู่ ระหว่างการยกเลิก Thailand pass ที่คาดว่าจะเริ่มวันที่ 1 มิ.ย. 2565 และกำลังจะประกาศโควิดเป็นโรคประจำถิ่นวันที่ 1 ก.ค. 2565 ซึ่งจะช่วยหนุนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวไทยเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2565
ทั้งนี้ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิในปี 2565 จะอยู่ที่ 89 ล้านบาท จากปี 2564 ที่ขาดทุนสุทธิ 1.20 พันล้านบาท โดยคาดว่าผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/2565 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ และเริ่มทยอยเห็นการฟื้นตัวในไตรมาส 2/2565 จาก High season ที่ UK และจะเห็นเป็นกำไรสุทธิได้ดีในไตรมาส 3/2565 จาก High season ที่มัลดีฟส์และ UK นอกจากนี้ยังคาดว่ากำไรจะทำจุดสูงสุดของปี ในไตรมาส 4/2565 จากมัลดีฟส์และไทยช่วยหนุน อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายปี 2565 ขึ้นเป็น 5.25 บาท จากเดิม 4.50 บาท