CEYE แรง 2 วันติด! พุ่งอีก 17% จับตาปีนี้กำไรโตทะลักเกิน 100% แตะ 58 ลบ.

CEYE แรง 2 วันติด! พุ่งอีก 17% จับตาปีนี้กำไรโตทะลักเกิน 100% แตะ 58 ลบ. รับโควิดคลาย หนุนธุรกิจสื่อฟื้นเด่น โดย ณ เวลา 11:30 น. อยู่ที่ระดับ 5.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.86 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (6 พ.ค.65) ราคาหุ้น บริษัท ตาชำนิ จำกัด (มหาชน)  หรือ CEYE ณ เวลา 11:30 น. อยู่ที่ระดับ 5.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.86 บาท หรือ 17.41% โดยทำจุดสูงสุดที่ 5.85 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 4.84 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 665.90 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านางสาวสุวรรณี  สุวรรณแสงโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  CEYE เปิดเผยว่า เป้าหมายรายได้ปี 2565 คาดว่าจะเติบโต 20% หรือเทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และมาตรการควบคุมต่าง ๆ ผ่อนคลายลง ส่งผลให้กลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น และเห็นการฟื้นตัวของงานลูกค้าชาวไทย และต่างชาติ บวกกับการยกเลิกมาตรการ Test & Go ของภาครัฐจะยิ่งช่วยหนุนให้งานลูกค้าต่างชาติฟื้นตัวกลับมามากขึ้น

นอกจากนี้ ในการระดมทุนไอพีโอครั้งนี้จะช่วยต่อยอดธุรกิจได้ดีขึ้น และจะเห็นผลชัดเจนในปี 2566 และในปีถัด ๆ ไป โดยภาพจำของ CEYE ในอนาคตการเป็นครีเอทีฟโปรดักชั่นชั้นนำระดับสากล และไม่มีการจำกัดคอนเทนต์ บริการในการสื่อสาร อีกทั้งสามารถปรับตัวไปอยู่ในทุกสภาพแวดล้อมอย่างเหมาะสม รวมถึงโอกาสในการเติบโตแบบก้าวกระโดดในอนาคตจากบริการแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อกับบริการไปสู่กลุ่มลูกค้าไทย และต่างประเทศ

“ปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 15% ของพอร์ตรวม โดยปีนี้มั่นใจว่างานจากกลุ่มลูกค้าต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังเห็นการฟื้นตัวของลูกค้าโซนเซาท์อีสเอเชียมาตั้งแต่ปลายปี 2564” นางสาวสุวรรณี กล่าว

นางสาวสุวรรณี  กล่าวต่อว่า ในส่วนของความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่ ปัจจุบันได้ถมที่ดินแล้ว แต่อยู่ระหว่างการปรับแผนการลงทุนใหม่ หรือแบบแปลนใหม่ หลังราคาวัสดุก่อสร้างแพงขึ้น แต่จะยังควบคุมให้อยู่ในระดับที่วางไว้ก่อนหน้านี้ โดยเมื่อสร้างแล้วเสร็จจะใช้พื้นที่รองรับธุรกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะธุรกิจออนไลน์ และครีเอทีฟเอเจนซี่ เป็นหลัก ถือเป็นฐานรายได้ใหม่ที่จะเกิดขึ้นกับ CEYE

ขณะเดียวกัน บริษัทได้ประเมินว่าภาพรวมแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2565 จะเติบโตดีกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 เนื่องจากเป็นช่วงที่ไม่ค่อยดีนัก อย่างไรก็ตามในอดีตช่วงไฮซีซั่นของ CEYE จะอยู่ในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 4 ของทุกปี แต่ปัจจุบันบริษัทมีบริการที่มีความหลากหลายขึ้น ทำให้ช่วงไฮซีซั่นเฉลี่ยมากขึ้นกว่าเดิม เช่น ธุรกิจออนไลน์-โซเชียลมีเดีย สามารถสร้างรายได้ตลอดทั้งปี เป็นต้น อย่างไรก็ตามจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2564 และไตรมาส 1/2565 เนื่องจากเดือน เม.ย. 2565 เป็นเดือนที่มีวันหยุดค่อนข้างมาก แต่เดือน พ.ค.2565 งานลูกค้าเริ่มกลับมาค่อนข้างมาก

นอกจากนี้ ความคืบหน้าในการศึกษาสร้างแพลตฟอร์มการให้บริการ และสร้างระบบของกลุ่มครีเอทีฟคอนเทนต์ให้ครบวงจร รวมทั้งอาจพิจารณาหาแนวทางเชื่อมไปสู่เทคโนโลยีบล็อกเชน แต่ยังไม่ได้สรุปชัดเจน และอยู่ระหว่างการหาทีมงานร่วมกัน ซึ่งเบื้องต้นภายในไตรมาส 2/2565 น่าจะสามารถเห็นความชัดเจนว่าจะดำเนินการ หรือไปในทิศทางใด ระยะเวลาในการดำเนินการ และความพร้อมในด้านต่าง ๆ

ด้านนักวิเคราะห์บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ทิศทางอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ของกำไรสุทธิช่วงปี 2562-2565 จะอยู่ที่ 15% ต่อปี โดยในปี 2565 ประเมินรายได้จากการให้บริการไว้ที่ 362 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งมีสัญญาณรายได้พลิกกลับดีขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/2564 ที่มีการเปิดเมืองตั้งแต่เดือน พ.ย. 2564 ทำให้มีความต้องการผลิตสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์มากขึ้นในหลายอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ทั้งธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม โทรศัพท์เคลื่อนที่ ค่ายรถยนต์ ธนาคาร ฯลฯ

ขณะที่คาดว่ารายได้ด้านออนไลน์มีเดียมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามการใช้เงินโฆษณาของแบรนด์ต่าง ๆ  ด้วยสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 29.2% ใกล้เคียงกับระดับ 29.6% ในช่วงไตรมาส 4/2564 และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อรายได้รวมที่ 8.9% ลดลงจาก 11% ในปี 2564 ส่งผลให้ประมาณการกำไรในปี 2565 อยู่ที่ 58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% เมื่อเทียบกับปีก่อน คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 15%

ดังนั้นประเมินราคาเหมาะสมในปี 2565 ของ CEYE ไว้ที่ 4.54 บาทต่อหุ้น โดยประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี PER ใช้ Prospective PER ที่ระดับ 21 เท่า เมื่อเทียบกับหุ้นที่ประกอบธุรกิจคล้ายคลึงกันในกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ (ตลาด SET) ที่ระดับ 47.34 เท่า และกลุ่มบริการ (ตลาด mai) ที่ระดับ 35.49 เท่า และประมาณกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2565 อยู่ที่ราว 0.216 บาท

Back to top button