CEYE พุ่งแรง 15% เก็งงบ Q1 กำไรสดใส-ทั้งปี 65 รายได้โต 20%
CEYE พุ่งแรง 15% เก็งงบ Q1 กำไรสดใส หลังความต้องการงาน “ครีเอทีฟคอนเทนต์” มากขึ้น พร้อมคาดทิศทางไตรมาส 2/65 จะเป็นช่วงที่ดี ดันทั้งปีรายได้โต 20%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (9 พ.ค. 2565) ราคาหุ้น บริษัท ตาชำนิ จำกัด (มหาชน) หรือ CEYE ณ เวลา 10:42 น. อยู่ที่ระดับ 4.80 บาท บวกไป 0.62 บาท หรือขึ้นไป 14.83% โดยทำจุกสูงสุดที่ 4.96 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 4.42 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 559.99 ล้านบาท
นางสาวสุวรรณี สุวรรณแสงโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ CEYE กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 คาดว่าจะมีการเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2564 ที่ผ่านมา จากมาตรการโควิด-19 ผ่อนคลาย ลูกค้ามีความต้องการงานครีเอทีฟคอนเทนต์เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าและโปรโมทธุรกิจ ประกอบกับช่องทางการสื่อสารในปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ การทำคอนเทนต์จึงมีความต้องการมากขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต
นอกจากนี้ จากมาตรการภาครัฐ ที่ประกาศยกเลิก Test & Go มีผลตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2565 จะสนับสนุนภาพรวมเศรษฐกิจและการบริโภคในประเทศให้กลับมาคึกคัก จึงคาดว่าทิศทางไตรมาส 2/2565 จะเป็นช่วงที่ดีของบริษัทฯ และเติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนได้
ขณะที่เป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2565 คาดว่าจะกลับมาเติบโตสูงกว่าระดับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด-19 หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนรายได้รวมอยู่ที่ 272.74 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 28.45 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจตามโครงการที่วางไว้ โดยเงินส่วนใหญ่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโครงการลงทุนในอนาคต เข้าสู่ธุรกิจที่เป็นต้นน้ำและปลายน้ำของอุตสาหกรรมโฆษณา ในโครงการลงทุนธุรกิจที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การตลาด หรือ Creative Agency และแผนลงทุนในบริษัท โพสต์ โปรดักชั่น สำหรับวีดีโอ ภาพยนตร์ และซีรีส์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมข้างเคียงที่มีการเติบโตสูง เนื่องจากซีรีส์ และแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่างๆ มีการจัดทำคอนเทนต์จำนวนมาก และเป็นตลาดใหม่ของบริษัท
นอกจากนี้ ยังเตรียมขยายธุรกิจออนไลน์ มีเดีย และลงทุนสร้างแพลตฟอร์มที่รวบรวมเหล่าครีเอเตอร์ และโปรดักชั่นที่มีความสามารถ มาเติมเต็ม Ecosystem ของ CEYE ให้ครบวงจรยิ่งขึ้น เพิ่มศักยภาพในการรับงาน และการแข่งขันเติบโตทั้งตลาดในประเทศไทย รวมทั้ง สามารถขยายไปยังต่างประเทศได้ โดยคาดจะเริ่มเห็นความคืบหน้าโครงการในอนาคตในปีนี้เป็นต้นไป