THANA พุ่งกระฉูด 17% จับตางบ Q1 โตเด่น วางเป้าปีนี้รายได้แตะ 1 พันลบ.

THANA พุ่งกระฉูด 17% จับตางบ Q1 โตเด่น วางเป้าปีนี้รายได้แตะ 1 พันลบ. เตรียมเปิด 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2.37 พันลบ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA ณ เวลา 15:59 น. อยู่ที่ระดับ 3.14 บาท บวก 0.46 บาท หรือ 17.16% สูงสุดที่ระดับ 3.26 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.64 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 155.92 ล้านบาท

นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THANA เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าหมายจะมียอดขาย (Presale) อยู่ที่ 1,200 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 1,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มียอดขาย 843 ล้านบาท และมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 581 ล้านบาท

ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2564 บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ 350 ล้านบาท จะรับรู้รายได้ 50% ในไตรมาส 1/2565 และมีสินค้าเหลือขาย (Remaining) รวม 1,426 ล้านบาท ขณะที่ในช่วงต้นปี 2565 ยังคงมียอดขายเพิ่มขึ้นในระดับที่น่าพอใจ จากเบื้องต้นประเมินยอดขายไว้ที่ 100 ล้านบาทต่อเดือน และมีการเร่งระบายสินค้าคงเหลืออย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทยังทยอยซื้อที่ดินทำเลดี หรือทำเลใกล้เมืองมากขึ้น หลังจากมีการเก็บภาษีที่ดิน ทำให้มีที่ดินมาให้เลือกในตลาดมากขึ้น

สำหรับในปี 2565 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2,370 ล้านบาท โดยในไตรมาส 2/2565 จะดำเนินการเปิดตัวโครงการแรก (ร่วมทุนกับพันธมิตร) ได้แก่ โครงการ THANA habitat มูลค่ารวม 1,070 ล้าน เป็นโครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด-ทาวน์โฮม จำนวน 167 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 6.4 ล้านบาท

ขณะที่ในไตรมาส 3/2565 จะเปิดโครงการของธนาสิริ กรุ๊ป THANA RESIDENCE มูลค่ารวม 800 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 47 ยูนิต ขนาด 100 ตารางเมตร (ตร.ม.) ราคาขายเริ่มต้น 17 ล้านบาท และไตรมาส 4/2565 บริษัทจะเปิดโครงการ THANA Village มูลค่ารวม 500 ล้านบาท เป็นบ้านแฝดจำนวน 115 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 4.3 ล้านบาท

ทั้งนี้ เชื่อว่าทั้ง 3 โครงการดังกล่าว จะได้การตอบรับที่ดี แม้ว่าจะมีการแข่งขันในตลาด แต่ THANA มีจุดแข็งเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการ การบริหารต้นทุน การเสริมการบริการคุณภาพชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ การมีฟังก์ชัน และการออกแบบที่แตกต่าง รวมถึงการมีพันธมิตรร่วมทุน (JV) ที่แข็งแกร่งจากประเทศญี่ปุ่น และมีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นมากขึ้น

ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2565 มีทิศทางการเติบโตที่ดีมาก โดยประเมินว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 3 เท่าแตะระดับ 200 ล้านบาท และจะมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นเท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 สอดคล้องกับการทยอยรับรู้รายได้จากยอดขายในมือต่อเนื่อง และการระบายสินค้าคงเหลือ รองรับความต้องการผู้บริโภค และรองรับตลาดในช่วงที่เริ่มได้รับผลกระทบเรื่องต้นทุนการก่อสร้างแพงขึ้น 5% แต่เชื่อว่าจะบริหารจัดการได้ดี และให้มีผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งจะทำให้ยังสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรสุทธิได้ในระดับที่เหมาะสม

Back to top button