JUBILE วิ่งแรง 6% รับกำไร Q1 ทะลุ 90 ลบ. รับยอดขายโตทะลัก
JUBILE วิ่งแรง 6% รับกำไรไตรมาส 1/65 โต 47% ทะลุ 90 ลบ. จากปีก่อนกำไร 61 ลบ. รับยอดขายโตทะลักอานิสงส์มาตรการรัฐ “ช็อปดีมีคืน” หนุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE ณ เวลา 11:19 น. อยู่ที่ระดับ 24.90 บาท บวก 1.40 บาท หรือ 5.96% สูงสุดที่ระดับ 25.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 23.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 9.55 ล้านบาท
โดยราคาหุ้น JUBILE ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังรายงานกำไรไตรมาส 1/65 เติบโต ดังนี้
ทั้งนี้ สถานการณ์ภาพรวมในไตรมาส 1 ปี 2565 ปรับตัวัดีขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้คนเริ่มปรับตัวและใช้ชีวิตแบบปกติใหม่กับโรคโควิด-19 แม้ว่าจะยังคงมีการระบาดของโรคโควิดสายพันธุ์ต่างๆ อยู่ ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสมเป็นจำนวนมาก แต่จำนวนผู้ได้รับวัคซีนมากขึ้นทำให้อาการเจ็บป่วยลดน้อยลง ประชาชนมีความมั่นใจในการดำเนินชีวิตแบบปกติใหม่เพิ่มมากขึ้น เศรษฐกิจจึงมีแนวโน้มที่ดีขึ้น หลายธุรกิจเริ่มกลับมาดำเนินธุรกิจทำให้มีเงินหมุนเวียน และมีการจับจ่ายมากขึ้นส่งผลให้บริษัทสร้างยอดขายได้ 448.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 42.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 10.5 มีสาเหตุหลักจากยอดขายของสาขาเดิมและออนไลน์เติบโตร้อยละ 10.1 และจากสาขาใหม่ร้อยละ 0.8
โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการวางกลยุทธ์ทางการตลาดที่แปลกใหม่และไม่หยุดนิ่ง ซึ่งในไตรมาสนี้บริษัทได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ อาทิ ไอคอนสยาม ร่วมเฉลิมฉลองวันตรุษจีน ด้วยชุด เครื่องประดับมาสเตอร์พีช มงกุฎเพชรมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท รวมถึงได้ออกคอลเล็ก ชั่นใหม่ “The Reign of Diamond Tiger” ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน และสำหรับเทศกาลวาเลนไทน์บริษัทออกคอลเล็กชั่นใหม่ “Jubilee Heart Collection” และยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายลุ้นรับของสมนาคุณที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ในช่วงเทศกาลร่วมด้วย
อีกทั้งในไตรมาสนี้บริษัทได้ออกอีกหนึ่งคอลเล็กชั่นพิเศษ “Fancy Yellow Diamond” นำเสนอสินค้าที่มีความแตกต่าง ให้กับลูกค้าเพื่อตอบโจทย์นักสะสมเพชร ซึ่งจากกลยุทธ์ทางการตลาด การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ประกอบกับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล “ช็อปดีมีคืน” ซึ่งบริษัทได้รับผลตอบรับที่ดีส่งผลให้ทั้งยอดขายและกำไรของบริษัทในไตรมาสนี้เติบโต
ด้านอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 47.5 เป็นร้อยละ 49.8 เนื่องจากมีการควบคุมต้นทุน และการจัดการ product mix ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งบริษัทยังคงสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 45 ตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ ส่งผลให้มีกำไรสำหรับงวดจำนวน 90.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 29.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 47.5 อย่างไรก็ตาม บริษัทรับรู้ผลกระทบจากการวัดมูลค่าใหม่ของผลประโยชน์ พนักงานทำให้ต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายสุทธิเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรเบ็ดเสร็จสำหรับงวดจำนวน 87.0 ล้านบาท
ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายของไตรมาส 1 ปี 2565อยู่ที่77.2ล้านบาท หรือร้อยละ 17.2ของยอดขายในขณะที่ปี 2564อยู่ที่ 79.4ล้านบาท หรือร้อยละ 19.6ของยอดขาย ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนประมาณ 2.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.8 โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของค่าใช้จ่ายการตลาดและค่าของสมนาคุณ
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารของไตรมาส 1 ปี 2565 อยู่ที่ 33.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.4 ของยอดขาย ในขณะที่ปี 2564 อยู่ที่ 34.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.6 ของยอดขายลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนประมาณ 1.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5.0 โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนต้นทุนทางการเงินเป็นการรับรู้ดอกเบี้ยจ่ายตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16 “สัญญาเช่า” ในไตรมาส 1 ปี 2565 อยู่ที่ 1.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.3 ของยอดขายปี 2564 อยู่ที่ 2.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.6 ของยอดขาย