EPCO คาดกำไรสุทธิปีนี้โต 15% หลังธุรกิจไฟฟ้ากำไรดี เตรียมยื่นโซลาร์ส่วนราชการฯ
EPCO คาดรายได้ปีนี้กว่า 900 ลบ. โตเล็กน้อยจากปีก่อน กำไรสุทธิปีนี้โต 15% หลังธุรกิจไฟฟ้ากำไรดีต่อเนื่อง เตรียมยื่นโซลาร์ฟาร์มส่วนราชการฯ 50MW คาดรู้ผลในเดือนธ.ค.นี้ คาดปี 59 สัดส่วนรายได้ไฟฟ้ามากกว่า 50% หลังโซลาร์ฟาร์มญี่ปุ่น COD 15 MW เล็งยื่นไฟลิ่ง "บ่อพลอย โซลาร์" พ.ค.59 คาดเข้าเทรดครึ่งปีหลัง
บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EPCO ระบุว่า บริษัทเดินหน้ารุกธุรกิจไฟฟ้าต่อเนื่อง โดยเตรียมยื่นเสนอขอขายไฟฟ้าโครงการโซลาร์ฟาร์มส่วนราชการฯ 50 เมกะวัตต์ (MW) จะรู้ผลในเดือน ธ.ค.นี้ ซึ่งจะช่วยหนุนให้รายได้ธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากที่คาดว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าในปีหน้าจะเกินกว่า 50% จาก 40% ในปีนี้ เพราะโครงการโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นที่บริษัทจะเข้าลงทุน 25 MW นั้นคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (COD)15 MW ในปีหน้า และที่เหลือจะทยอยเดินเครื่องอีกในช่วงปี 60-61
ขณะที่รายได้ในปีนี้คาดว่าจะทำได้กว่า 900 ล้านบาทเติบโตเล็กน้อยจากปีก่อน หลังธุรกิจสิ่งพิมพ์ซึ่งเป็นรายได้หลักยังทรงตัว แต่ในส่วนของกำไรสุทธิน่าจะเติบโตได้ 15% จากปีก่อน เพราะธุรกิจไฟฟ้าสามารถสร้างกำไรที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเตรียมยื่นแบบไฟลิ่งขายหุ้น IPO ของ”บ่อพลอย โซลาร์”ในเดือนพ.ค.59 ก่อนเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ด้านนายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการบริหาร ของ EPCO เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมยื่นขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าตามผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร (โซลาร์ฟาร์มส่วนราชการฯ)ภายใน 1-2 วันนี้ โดยจะร่วมกับหน่วยงานราชการ และสหกรณ์ภาคการเกษตรราว 4-5 แห่ง เสนอหลายโครงการ กำลังการผลิตรวม 50 MW ในพื้นที่ทั้งภาคกลางและภาคตะวันออก คาดว่าจะรู้ผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 ธ.ค.58
ทั้งนี้ หากได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ดำเนินโครงการดังกล่าวก็จะช่วยหนุนให้รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เพราะจะต้องจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายในกำหนดเดือน ก.ย.59 โดยคาดว่าจะผลักดันให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าในปี 59 เพิ่มเป็นมากกว่า 50% จาก 40% ในปีนี้ เนื่องจากจะรับรู้รายได้โครงการโซลาร์ฟาร์มที่ประเทศญี่ปุ่น ที่บริษัทมีแผนจะลงทุนราว 25 MW มูลค่าโครงการราว 2.5 พันล้านบาท ซึ่งจะขออนุมัติต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ หากได้รับอนุมัติก็สามารถก่อสร้างได้ทันที
สำหรับโครงการดังกล่าวจะ COD ในปี 59 ราว 15 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นในช่วงปลายไตรมาส 2/59 ราว 10 MW และไตรมาส 3/59 อีก 5 MW ส่วนที่เหลือคาดว่าจะ COD ในช่วงปี 60-61 สำหรับการลงทุนโครงการดังกล่าวจะใช้เงินทุนของบริษัท 20% และเงินกู้ยืมสถาบันการเงินในญี่ปุ่น 80% ขณะที่บริษัทมีเงินสดในมือราว 400 ล้านบาท
โดยปัจจุบัน บริษัทมีรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าที่เดินเครื่องผลิตแล้วในไทย 16.5 MW สร้างรายได้กว่า 300 ล้านบาท/ปี และปี หน้าก็จะมีกำลังผลิตส่วนเพิ่มจากญี่ปุ่นเข้ามา นอกเหนือจากที่มีโซลาร์ฟาร์มโครงการแรกในญี่ปุ่นอยู่แล้วแต่ยังไม่ได้เริ่มจ่ายไฟฟ้า ซึ่งจะผลักดันให้รายได้รวมในปี 59 เติบโตกว่าปี 58 ได้อย่างมาก
สำหรับในปี 58 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่กว่า 900 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อยจาก 896 ล้านบาทในปี 57 เนื่องจากรายได้จากธุรกิจสิ่งพิมพ์ทรงตัว โดยคาดว่าปีนี้จะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจสิ่งพิมพ์ 60% และธุรกิจไฟฟ้า 40% แต่ในส่วนของกำไรสุทธิคาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้ 15% จาก 221.72 ล้านบาทในปีก่อน โดยครึ่งแรกปีนี้ทำกำไรสุทธิได้แล้ว 138 ล้านบาท เพราะธุรกิจไฟฟ้ายังมีกำไรดีต่อเนื่อง ปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนกำไรสุทธิมาจากสิ่งพิมพ์ 20-25% และธุรกิจไฟฟ้า 75-80%
“แนวโน้มรายได้ในไตรมาส 4 ยังเป็นไปตามแผน ไม่หวือหวามาก แต่ปี 59 รายได้จากไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นตาม COD จะหนุนให้สัดส่วนรายได้จากไฟฟ้ามากกว่า 50% และถ้าได้โซลาร์สหกรณ์เข้ามาก็จะหนุนรายได้ให้เพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้จากสิ่งพิมพ์น่าจะทรงตัวถึงถดถอยเพราะเป้าหมายคนอ่านน้อยลง”นายยุทธ กล่าว
นอกจากนี้บริษัทยังมีเป้าหมายที่จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มถึงระดับ 100 MW แต่การหากำลังผลิตเพิ่มจะต้องผ่านพ้นช่วงการนำบริษัท บ่อพลอย โซล่าร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทำธุรกิจไฟฟ้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)ก่อน เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายการลงทุน คาดว่าจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง)เพื่อเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)ราวเดือนพ.ค.59 ก่อนนำหุ้นเข้าซื้อขายใน SET ในปีเดียวกันด้วย