FPI บวก 5% จับตา Q2 โตแรง! ออเดอร์ชิ้นส่วนรถยนต์ทะลัก ย้ำรายได้ปีนี้พุ่ง 2.4 พันลบ.
FPI บวก 5% จับตาผลงาน Q2/65 โตแรง! ออเดอร์ชิ้นส่วนรถยนต์ทะลัก คาดโกยรายได้ไตรมาสละ 600 ลบ. มั่นใจทั้งปีเข้าเป้า 2.4 พันลบ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นวันนี้ (25พ.ค.65) บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI ณ เวลา 15:23 น. อยู่ที่ระดับ 3.18 บาท บวก 0.14 บาท หรือ 4.61% สูงสุดที่ระดับ 3.22 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.06 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 60.90ล้านบาท
นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ FPI เปิดเผยว่า แนวโน้มในไตรมาส 2/2565 คาดจะเติบโตได้ดีกว่าไตรมาส 1/2565 และไตรมาส 4/2564 เนื่องจากมีคำสั่งซื้อ (Order) รองรับค่อนข้างสูง ทั้งงานในส่วนของบริษัทเอง และรับจ้างผลิต (OEM) เป็นไปตามฐานลูกค้าเดิมในตลาดหลักที่เหนียวแน่น และการขยายตลาดใหม่เข้ามาเสริมพอร์ตต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้เข้ามาเฉลี่ย 600 ล้านบาทต่อไตรมาส โดยในไตรมาส 1/2565 มีรายได้รวมแล้ว 586.76 ล้านบาท และในไตรมาส 2/2565 มั่นใจว่าจะสามารถทำได้เช่นกัน แม้ว่าปกติเดือน เม.ย.จะเป็นช่วงที่ออเดอร์ชะลอตัวจากวันหยุดยาว แต่ช่วง 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค. 2565) รายได้ยังคงเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ เนื่องจากออเดอร์ไหลเข้าไทยค่อนข้างมาก หลังจากการล็อกดาวน์ของประเทศจีน และยังเป็นเจ้าเดียวที่ได้การรองรับการรับงานชุบพลาสติกของโตโยต้าเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาอีกด้วย
ดังนั้นมั่นใจว่าภาพรวมผลการดำเนินงานของปี 2565 จะมีรายได้แตะ 2,400 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีรายได้ 2,136 ล้านบาท ตามแผนงานที่วางไว้ เนื่องจากธุรกิจของบริษัทมีออเดอร์เข้ามาค่อนข้างแน่น ทั้งฐานผลิตประเทศไทย และอินเดีย รวมถึงอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ฟื้นตัวได้ดี และภาคการส่งออกดีขึ้นมาก
สำหรับงบลงทุนในปี 2565 วางไว้ประมาณ 61 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนเครื่องจักร/ระบบออโตเมชั่น ในประเทศไทย ประมาณ 37 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ ประมาณ 24 ล้านบาท ลงทุนในไลน์ผลิตฉีด/พ้นสีใหม่ เชื่อว่าจะช่วยรองรับออเดอร์ที่เพิ่มขึ้น หนุนรายได้ และกำไรดีขึ้นจากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) เชื่อว่าจะสามารถช่วยผลักดันอัตรากำไรขั้นต้น อัตรากำไรสุทธิให้ปรับตัวสูงขึ้นได้อีก และสามารถลดต้นทุนการผลิตลดลงได้ต่อเนื่อง
ขณะที่ธุรกิจบริการให้เช่าแม่พิมพ์ บริษัทยังคงขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 คาดว่าจะมีรายได้เข้ามามากกว่า 10 ล้านบาท และบันทึกเป็นกำไรทันที 100% และในปี 2566 คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท ด้านธุรกิจ OEM ในปี 2565 น่าจะสร้างรายได้เข้ามา 450-500 ล้านบาท ในปี 2566 จะมีรายได้อยู่ที่ 700 ล้านบาท และในปี 2567 รายได้จะขยับไปแตะ 1,000 ล้านบาท ภายใต้อัตรากำไรขั้นต้นไม่น้อยกว่า 30% ซึ่งเป็นออเดอร์ทั้งในประเทศไทย และอินเดีย
ด้านธุรกิจในประเทศอินเดีย ตั้งแต่เดือน เม.ย. 2565 ผลการดำเนินงานเริ่มเทิร์นอะราวด์แล้ว เทียบกับตั้งแต่ที่เข้าลงทุน 2-3 ปีที่ผ่านมามีผลขาดทุนตลอด โดยในช่วงไตรมาสแรกมีผลขาดทุนเหลือเพียง 8-9 ล้านบาทเท่านั้น และเชื่อว่าภาพรวมทั้งปี 2565 จะสามารถทำกำไรได้ เนื่องจากมีโปรเจกต์ผลิตชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมรถยนต์เข้ามาประมาณ 900 ล้านรูปีอินเดีย หรือคิดเป็นประมาณ 400 ล้านบาท และเริ่มเข้าไปในตลาดมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า (EV) ปัจจุบันมีงานเข้ามาในพอร์ต 215 ล้านรูปีอินเดีย หรือคิดเป็นประมาณ 95 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้น่าจะมีการรับรู้รายได้เข้ามา 400 ล้านรูปีอินเดีย หรือคิดเป็นประมาณ 180 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาร่วมทุน หรือเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานใหม่ในประเทศอียิปต์ในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อหวังขยายตลาดได้เพิ่มต่อเนื่องในโซนใกล้เคียง โดยในแต่ละปีตั้งเป้าหมายขยายไปตลาดใหม่อย่างน้อย 4-5 ประเทศจากปัจจุบันที่มีตลาดมากกว่า 140 ประเทศ นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นขยายไปยังตลาดตะวันออกกลางมากขึ้น